วันพฤหัสบดี, กันยายน 17, 2552

@@@@@@@สนุกคิดคณิตศาสตร์ @@@@@@@


# + # + # + # + # + # + # + # + # + # + #
1. คุณสมบัติพิเศษของเลข 9
(1)ถ้าท่านนำเลข 9 ไปคูณกับจำนวนใดๆคำตอบที่ได้ นำมาบวกกันจะได้เลข 9 เสมอ เช่น
9x2=18 นำคำตอบที่ได้คือ 18 มาบวกกันได้ 1+8=9


9x3=27 นำคำตอบที่ได้คือ 27 มาบวกกันได้ 2+7=9

9x4=36 นำคำตอบที่ได้คือ 36 มาบวกกันได้ 3+6=9

9x8=72 นำคำตอบที่ได้คือ 72 มาบวกกันได้ 7+2=9

(2)ท่านลองยกตัวอย่างเลขจำนวนหนึ่งเช่น 987 หากสลับที่จะได้ 978 หรือ 798 จากนั้นนำเลขตัวน้อยไปลบออกจากเลขตัวมากผลลัพธ์ที่ได้เมื่อหารด้วย 9 จะลงตัวเสมอ เช่น
879_
798
081
ผลลัพธ์ 81 จะหารด้วย 9 ลงตัวเสมอ

(3)ท่านลองยกตัวอย่างเลขจำนวนหนึ่งเช่น 987 นำเลขแต่ละหลักมาบวกกันได้ 9+8+7 = 24 แล้วนำไปลบ กับตัวเลขเดิมจะได้987-24=963 ท่านจะพบว่าผลลัพธ์ที่ได้คือ 963 จะหารด้วย9 ลงตัวเสมอ ถ้าไม่เชื่อลองยกตัวอย่างอื่นดูก็ได้(4)เลข 9 ยังยีคุณสมบัติพิเศษอีกเช่น
987654321x9 = 8888888889
987654321x18 = 1777777778
987654321x27 = 2666666667
987654321x36 = 3555555556
987654321x45 = 4444444445
987654321x54 = 5333333334
987654321x63 = 6222222223
987654321x72 = 7111111112
987654321x81 = 8000000001

(5)แค่นี้ยังไม่พอเลข 9 ยังมีคุณสมบัติพิเศษดังนี้
1x9+2 = 11
12x9+3 = 111
123x9+4 = 1111
1234x9+5 = 11111
12345x9+6 = 111111

(6)เลข 9 ยังมีคุณสมบัติดังรูปแบบนี้ด้วย คือ
1x8+1 = 9
12x8+2 = 98
123x8+3 = 987
1234x8+4 = 9876
12345x8+5 = 98765
สรุป จากคุณสมบัติพิเศษของเลข 9 ที่กล่าวมาแล้วเราสามารถใช้ประโยชน์ในการคิดเลขให้เร็วขึ้นโดยมีหลักดังนี้เมื่อต้องการคูณเลขใดด้วย 9 เช่น 8x9 หรือ 987x9 เรามีวิธีคิดลัดดังนี้(1)ลดเลขที่จะคูณกับ 9 ลงไป 1 ได้เท่าไหรา เขียนใส่ในกระดาษคำตอบ(2)หาเลขที่นำมาบวกกับเลขที่ลดลง 1 แล้วนี้ให้ได้ 9 เติมต่อท้าย ก็จะเป็นคำตอบ เช่น
8x9 = ?
วิธีคิด
(1)ลด 8 ลง 1 ได้ 7 เขียนเลข 7 ไว้ในคำตอบ
(2)หาเลขมาบวกกับ 7 ได้ 9 เลขนั้นคือ 2 แล้วเขียน 2 ต่อ ท้ายคำตอบ จะได้ 72
เพราะฉะนั้น 8x9 = 72
อีกตัวอย่างหนึ่ง
54x99 = ?
วิธีคิด
(1) ลด 54 ลง 1 ได้ 53 เขียนเลข 53 ไว้ในคำตอบ
(2)หาเลขมาบวกกับ 5 ให้ได้ 9 เลขนั้นคือ 4 เขียน 4 ต่อ ท้ายจะได้ 534 ยังไม่จบคะหาเลขบวกกับ 3 ได้ 9 เลขนั้นคือ 6 เขียน 6 ต่อท้าย จะได้5346 เป็นคำตอบ
เพราะฉะนั้น 54x99 = 5346





ทายเลขที่เธอเขียนไว้


1.เขียนเลขที่ต้องการทาย


2. คูณด้วย 5


3. เอา 6 ไปบวก


4. เอา 4 ไปคูณ


5. เอา 9 ไปบวก


6. เอา 5 ไปคูณ


7. ตัดเลขสองตัวหลังทิ้ง


8. เอา 1 ไปลบ


ตัวอย่าง


1.12


2.12x5 = 60


3.60+6 = 66


4.66x4 = 264


5.264+9 = 273


6.273x5 = 1,365


7.13


8.13-1 = 12


เพราะฉะนั้น 12 คือเลขที่เขียนทายไว้
ลองทดสอบเคล็ดลับข้างต้นกับจำนวนเลขอื่นว่าเป็นจริงหรือไม่






ลองทายเพื่อนดู
สุชาติบอกกับอาภรณ์ว่า มีเกมทายเลขสนุก โดยสุชาติบอกให้อาภรณ์ทำดังนี้
ขั้นตอน
ตัวอย่าง
1.เขียนเลขสามหลักจะเป็นเลขอะไรก็ได้ที่เลขทั้งสามตัวไม่ซ้ำกัน
เช่น 482
2. กลับหลักเลขเสียใหม่ เอาตัวหน้าไปไว้หลังเอาตัวหน้าไว้หน้า ตัวกลางเหมือนเดิม
เช่น 284
3. เอา จำนวนที่น้อยไปลบออกจากจำนวนที่มาก
เช่น 482 - 284 = 198
4. บอกเพียงเลขหลักท้ายของคำตอบ
เช่น 8



เลขท้าย คือ 8 อาภรณ์บอก


สุชาติ ตอบ คำตอบคือ 198 และอธิบายหลักการว่า


เธอจะเห็นว่าเลขหลักร้อยกับเลขหลักหน่วยเมื่อบวกกันแล้วได้เท่ากับ 9 เสมอ


ดังนั้น เมื่อเธอบวกเลขหลักสุดท้ายหรือหลักหน่วยเท่ากับ 8 ฉันก็เอาไปลบออกจาก 9


ได้เท่ากับ 1 คำตอบจึงป็น 198


มีข้อแม้ว่า ถ้าเลขหลักหน่วยหรือหลักสุดท้ายเป็น 9 จะไม่มีเลขในหลักร้อย คำตอบจะเป็น "99"
ลองทดลองกับเลขต่อไปนี้ ดูว่าผลที่ได้เป็นอย่างไร (" 825 , 125 , 892 , 196")



เลข 4 สี่ตัว
ความสนุกอย่างหนึ่งในคณิตศาสตร์ คือ เราพยายามใช้เลข 4 เพียงสี่ตัวแทนจำนวน 1,2,3,4 ... และเรื่อยๆไปโดยอาศัยเครื่องหมาย บวก ลบ คูณ หาร เป็นเครื่องช่วย เช่น
1 = (4 / 4)x(4 / 4)



2 = (4 / 4) + (4 / 4)


3 = (4 + 4 + 4) / 4


4 = 4 x (4 4) + 4


5 = ((4 x 4) + 4)


6 = 4 + ((4 + 4) / 4)


7 = (4 + 4) - (4 / 4)


8 = 4 + 4 + 4 - 4


9 = (4 + 4)+(4 / 4)


10 = (44 - 4) / 4


11 = (44 - 4) / 4


12 = (44 + 4) / 4


13 = 4 + ((4 - .4 ) / .4)


14 = ( 4 x (4 - .4) - .4 )


15 = (4 x 4) - (4 / 4)


16 = 4 + 4 + 4 + 4


17 = (4 x4) + (4 / 4)


18 = (4 x 4)+(4 / .4)


19 = (((4 + 4 ) - .4) / .4)


20 = 4 x (4 + (4 / 4))





ทายเดือนเกิดและอายุ
ขั้นตอน
ตัวอย่าง
1.กำหนดค่าของเดือนเกิดโดย



1 = ม.ค.


2 = ก.พ.


3 = มี.ค.


4 = เม.ย.


5 = พ.ค.


6 = มิ.ย.


7 = ก.ค.


8 = ส.ค.


9 = ก.ย.


10 = ต.ค.


11 = พ.ย.


12 = ธ.ค.
เช่น เกิดเดือน
มีนาคม = 3
2. เอา 2 ไปคูณค่าของเดือน
เช่น 3 x 2 = 6
3. เอา 5 ไปบวก
เช่น 6 + 5 = 11
4. เอา 50 ไปคูณ
เช่น 11 x 50 = 550
5. เอาอายุไปบวก
เช่น อายุ 36 : 550 +36 = 586
6. เอา 365 ไปลบ
เช่น 586 - 365 = 221
7. เอา 115 ไปบวก
เช่น 221 + 115 = 336
สรุป ได้เลข 3 3 6 เพราะฉะนั้น เกิดเดือน มีนาคม อายุ 36 ปี
ท่านลองสมมุติอายุและเดือนเกิดใหม่ทดลองดูซิว่าได้หรือไม่







วันอังคาร, กันยายน 15, 2552

คำถามทายใจ

คำถามข้อที่ 1 ถามว่าคุณสามารถช่วยชีวิตสัตว์ได้หนึ่งชนิดหากโลกจะแตกคุณจะเลือกช่วยอะไร ?
1. กระต่าย
2. แกะ
3. กวาง
4. ม้า
คำถามข้อที่ 2 ถามว่าหากคุณได้เดินทางเพื่อไปเยี่ยมชมเผ่าพื้นเมืองแห่งหนึ่งในแอฟริกาขากลับเขาจะให้สัตว์อย่างหนึ่ง เพื่อเป็นที่ระลึก คุณจะเลือกตัวอะไร?
1. ลิง
2. สิงโต
3. งู
4. ยีราฟ
คำถามข้อที่ 3 ถามว่าถ้าคุณได้ทำผิดแล้วถูกพระเจ้าลงโทษสาบให้เป็นสัตว์คุณจะเลือกเป็นตัวอะไร?
1. สุนัข
2. แมว
3. ม้า
4. งู
คำถามข้อที่ 4 ถามว่าถ้าคุณมีอำนาจคุณอยากจะเสกให้สัตว์ชนิดใดหายสาบสูญไปจากโลกตลอดกาล ?
1. สิงโต
2. งู
3. จระเข้
4. ฉลาม
คำถามข้อที่ 5 ถามว่าคุณอยากจะให้สัตว์ชนิดใดพูดภาษาคนได้มากที่สุด ?
1. แกะ
2. ม้า
3. กระต่าย
4. นก
คำถามข้อที่ 6 ถามว่าหากต้องติดอยู่บนเกาะร้างกลางมหาสมุทร คุณอยากจะให้ใครไปอยู่เป็นเพื่อน ?
1. มนุษย์
2. หมู
3. วัว
4. นก
คำถามข้อที่ 7 ถามว่าถ้ามีเวทมนต์คุณอยากจะเสกให้สัตว์ชนิดใดเป็นสัตว์เลี้ยง ?
1. ไดโนเสาร์
2. เสือขาว
3. หมีขั้วโลก
4. เสือ
ดาวคำถามข้อที่ 8 ถามว่าคุณจะเลือกเป็นตัวอะไรถ้าหากสามารถแปลงเป็นสัตว์ได้ 5 นาที ?
1. สิงโต
2. แมว
3. ม้า
4. นกพิราบ
เฉลย
ก็คือคำถามข้อที่ 1 คุณสามารถช่วยชีวิตสัตว์ได้หนึ่งชนิดหากโลกจะแตกคุณจะเลือกช่วยอะไร?
-ความหมายแฝงเป็นนัยๆ ของคำถามข้อนี้คือ คนที่มีบุคลิกแบบใดที่ดึงดูดใจคุณมากที่สุด?
1. กระต่าย เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณชอบคนที่รักสันโดษ มองภายนอกเป็นคนสงบนิ่ง ซึ่งต่างจากภายในที่ร้อนเหมือนไฟ
2. แกะ เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณชอบคนที่ดูอบอุ่นและเชื่อฟังคุณ
3. กวาง เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณชอบคนบุคลิกดี สง่างามและดูภูมิฐานป็น
4. ม้า เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณชอบคนที่รักอิสระเสรีไม่ชอบทำอะไรตามกฏเกณฑ์และ เป็นตัวของตัวเอง
คำถามข้อที่ 2 หากคุณได้เดินทางเพื่อไปเยี่ยมชมเผ่าพื้นเมืองแห่งหนึ่งในแอฟริกาขากลับเขาจะให้สัตว์อย่างหนึ่งเพื่อเป็น ที่ระลึก คุณจะเลือกตัวอะไร?
-ความหมายแฝงเป็นนัยๆ ของคำถามข้อนี้คือ การจีบแบบใดที่โดนใจคุณมากที่สุด?
1. ลิง เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณชอบการจีบแบบสร้างสรรค์มีอะไรแปลกใหม่มาให้คุณ ประหลาดใจอยู่เสมอเพราะนั่นจะทำให้คุณไม่รู้สึกเบื่อ
2. สิงโต เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณชอบการจีบแบบตรงไปตรงมา หากรักก็บอกว่ารักกัน ไปเลยาด
3. งู เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณชอบการจีบแบบที่ดูโลเลไม่แน่นอน บางครั้งเขาทำ เหมือนรักคุณมากมายแต่บางครั้งก็แกล้งทำเหมือนไม่ใส่ใจคุณเลยเพราะนั่นจะทำให้คุณรู้สึกตื่นเต้นและท้าทายตลอดเวลา
4. ยีราฟเหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณชอบการจีบแบบที่แสดงถึงความอดทน จริงใจและ พร้อมที่จะให้อภัยคุณได้ทุกอย่าง
คำถามข้อที่ 3 ถ้าคุณได้ทำผิดแล้วถูกพระเจ้าลงโทษสาบให้เป็นสัตว์คุณจะเลือกเป็นตัวอะไร?
-ความหมายแฝงเป็นนัยๆ ของคำถามข้อนี้คือ สิ่งใดที่ทำให้คุณรู้สึกประทับใจในตัวเขา?
1. สุนัข เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ ความซื่อสัตย์ ความมั่นคงและจริงใจที่ไม่เคยเปลี่ยน แปลง
2. แมว เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ ความโก้เก๋ ความมีรสนิยมในตัวเขา
3. ม้า เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ การมองโลกในแง่ดีของเขา
4. งู เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ ความเป็นคนง่ายๆ สบายๆและไม่เรื่องมากของเขา
คำถามข้อที่ 4 ถ้าคุณมีอำนาจ คุณอยากจะเสกให้สัตว์ชนิดใดหายสาบสูญไปจากโลกตลอดกาล?
-ความหมายแฝงเป็นนัยๆ ของคำถามข้อนี้คือ สิ่งใดที่คุณทนไม่ได้เลยหากคนรักของคุณทำนิสัย แบบนี้?
1. สิงโต เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ การถือตัว ยิ่งยโสและชอบดูถูกคนของเขา
2. งู เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของเขา
3. จระเข้ เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ ความก้าวร้าว หยาบกระด้างของเขา
4. ฉลาม เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ อาการขี้ตกกังวลและความไม่มั่นใจในตัวเองของเ ขา
คำถามข้อที่ 5 คุณอยากจะให้สัตว์ชนิดใดพูดภาษาคนได้มากที่สุด?
-ความหมายแฝงเป็นนัยๆ ของคำถามข้อนี้คือ คุณอยากให้ความสัมพันธ์ของคุณกับคนรักดำเนินไปแบบไหน?
1. แกะ เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ สามารถเข้าอกเข้าใจกันได้ และสื่อสารกันด้วยสายตาโดยจำเป็นต้องพูดออกมาและดำเนินความสัมพันธ์ไปเหมือนที่ คนรุ่นพ่อแม่เคยปฏิบัติ
2. ม้า เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ สามารถเปิดอกพูดคุยกันได้ทุกเรื่องโดยไม่มีความลับต่อกัน
3. กระต่ายเหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ มีสัมพันธภาพที่อบอุ่นและรักกันหวานชื่นตลอดเวลา
4. นก เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือมีความสัมพันธ์ที่มั่นคงยาวนานเพราะคุณมองไปถึงการสร้างอนาคตร่วมกันด้วย
คำถามข้อที่ 6 หากต้องติดอยู่บนเกาะร้างกลางมหาสมุทร คุณอยากจะให้ใครไปอยู่เป็นเพื่อน?
-ความหมายแฝงเป็นนัยๆ ของคำถามข้อนี้คือ คุณมีแนวโน้มแค่ไหน เรื่อง ”การนอกใจ”
1. มนุษย์ เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณเป็นคนแคร์สังคมและศีลธรรม คุณจะไม่คิดนอกใจ หลังจากแต่งงานแล้วเด็ดขาด
2. หมู เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณทนต่อการยั่วยุไม่ค่อยได้ดังนั้นมีแนวโน้มที่คุณจะคิดนอกใจ
3. วัว เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณมีความอดทนอดกลั้นดีเยี่ยมคุณพยายามที่จะไม่ให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น
4. นก เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณไม่มีความอดทนดังนั้นมีโอกาสที่จะกระทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมหากมีแรงยั่วยุ
คำถามข้อที่ 7 ถ้ามีเวทมนต์คุณอยากจะเสกให้สัตว์ชนิดใดเป็นสัตว์เลี้ยง?
- ความหมายแฝงเป็นนัยๆของคำถามข้อนี้คือคุณคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่อง”การแต่งงาน”?
1. ไดโนเสาร์เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณเป็นคนมองโลกแง่ร้ายไม่อยากแต่งงาน
2.เสือขาวเหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือคุณคิดว่าการแต่งงานเป็นสิ่งที่มีค่าถ้าได้แต่งงานคุณจะประคับประคองชีวิตคู่ให้คงไว้ตลอดไป
3. หมีขั้วโลกเหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณกลัวการแต่งงานเพราะคิดว่ามันอาจทำให้คุณหมดอิสระ
4. เสือดาวเหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณอยากแต่งงาน ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วคุณไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องการใช้ชีวิตคู่เลย
คำถามข้อที่ 8 คุณจะเลือกเป็นตัวอะไรถ้าหากสามารถแปลงเป็นสัตว์ได้ 5 นาที?
- ความหมายแฝงเป็นนัยๆ ของคำถามข้อนี้คือ คุณคิดอย่างไรเกี่ยวกับ ” ความรัก”?
1. สิงโต เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณมักจะเหนื่อยเสมอในเรื่องของความรักเพราะคุณยอมทำได้ทุกอย่างเพื่อคนที่รักแต่ก็ใช่ว่าคุณจะตกหลุมรักใครง่ายๆ
2. แมว เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณรักตัวเองมากกว่าและคุณก็คิดว่าความรักเป็นแค่อารมณ์อะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวเท่านั้น
3. ม้า เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือคุณไม่ต้องการจะทุ่มเทอะไรมากมายเพื่อความรัก แต่สิ่งที่คุณทำไปทุกอย่างก็เพราะไม่อยากจะอยู่คนเดียว เพียงลำพังในโลกใบนี้เท่านั้น
4. นกพิราบ เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณคิดว่าความรักนั้น คือการเปิดใจยอมรับที่จะใช้ชีวิตคู่กับใครสักคน

วันจันทร์, กันยายน 14, 2552

++~!! ลักษณะนิสัยประจำวันเกิด !!~~++

วันอาทิตย์
คนเกิด วันอาทิตย์ เป็นคนชอบเสี่ยง กล้าได้กล้าเสีย เป็นคนมี ความคิดโลดแล่น รวดเร็ว และใจร้อน เช่นเดียวกันกับในเรื่องของ ความรักเมื่อหลงรักใครแล้วจะตามตื้อให้สำเร็จจนได้เป็นคนรักสนุก
ชอบคนที่ดูดีมีเสน่ห์ไม่เรียบง่ายหรือเชยจนเกินไปเป็นคนมี ความเชื่อมั่นในตนเองสูง มีความ สดใสน่ารัก และร่าเริงทำให้มี เสน่ห์ต่อเพศตรงข้ามใครเห็นใครก็ชอบแต่ค่อนข้างดื้อรั้น และหัวเแข็ง ซึ่งบางครั้งทำให้ไม่ยอมอ่อนข้อต่อใคร บางทีความรักต้องสิ้นสุดลงไป เพราะความมีทิฐิมานะเป็นคน ค่อนข้างเจ้าชู้ทีเดียว และมีความโรแมนติกในเรื่องความรักมาก ชอบที่จะอยู่คลอเคลียกับคนรักตลอดเวลา รักใครแล้วจะเป็นคนที่รักจริง หวังแต่งเลยนะ แต่ก่อนที่จะพบตัวจริง ก็ชอบที่จะเลือกพบคนใหม่ ๆ เพราะมันทำให้เกิดความรู้สึกท้าทาย คนเกิดวันนี้จะมีดวง ความรัก ค่อนข้างดี ถ้าคนรักเข้าใจถึงความใจร้อนไปบ้างของคุณ ก็จะสามารถ คบกันได้นาน


วันจันทร์
คนเกิดวันนี้เป็นคนเจ้าชู้หลบใน (ก็เจ้าชู้เงียบๆ นั่นแหละ) ไม่แสดงออกเด่นชัดเหมือนคนวันอาทิตย์ มักจะแอบโปรยเสน่ห์ ให้ใครต่อใครหลงใหลอยู่เสมอ เพราะความที่เป็นคนน่ารักสุภาพ อ่อนโยนอีกทั้งยังฉลาดเฉลียวแถมยังเข้าอกเข้าใจผู้อื่นและมีมนุษย สัมพันธ์ดีอีกด้วย ความจริงคนเกิดวันนี้ก็เป็นคนที่ค่อนข้างดื้อรั้นและเอาแต่ใจตัวเอง เหมือนกันแต่จะค่อย ๆ แสดงออกมาเมื่อคบกันแล้วต้องการให้คนมา เอาอกเอาใจ คนเกิดวันนี้รักความสะดวกสบาย โกรธง่าย หายเร็ว รักแท้ ของคนวันจันทร์มักจะเกิดกับคนที่แตกต่างในเรื่องของอายุหรือฐานะ ความเป็นอยู่มากทีเดียว ทำให้ต้องอดทนและฝ่าฟัน เหมือนรักแท้ ในหนังสุดโรแมนติกประมาณ โรส แอนด์ แจ๊ค แห่งไททานิคนั่นเลย แต่ว่าคนวันจันทร์นี้มักจะสุขสมหวังเสมอในเรื่องความรักถ้าดูแลหัวใจ ตัวเองให้ดีไม่เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาไปไหนก็จะมีคู่รักที่คบกันเนิ่นนาน จนเพื่อน ๆ อิจฉาเสมอนั่นแหละ


วันอังคาร
เป็นคนที่มีดวงความรักค่อนข้างดีทีเดียว จะพบรักแท้ที่คบกัน อยู่ กันไปอย่างหวานชื่น และสมหวัง อาจจะเป็นคนที่ดูเจ้าชู้ไปสักนิดแต่จริง ๆ แล้วเป็นแค่อยากสนุกชั่วครั้ง ชั่วคราว เท่านั้น ไม่ได้เป็นนิสัย ถ้าเจอะ เจอคนหน้าตาดีหรือบุคลิกถูกใจก็จะส่งสายตาไปก่อนอื่น แต่จะไม่ใช่ คนที่จะต้องเข้าไปขอทำความรู้จักในทันทันใดเป็นคนมีนิสัยใจร้อน วู่วามและตรงไปตรงมาแต่นั่นแหละคือเสน่ห์ที่เพศตรงข้ามหลงไหล คนเกิดวันนี้เมื่อตกหลุมรักใครแล้วจะติดตามคอยอยู่ใกล้อย่าง ตั้งใจ ไม่มีวันจีบทิ้งจีบขว้างอย่างแน่นอน เป็นคนที่แข็งนอก อ่อนใน ใจดี แต่ปากแข็งเมื่อทำผิดมักจะไม่ค่อยยอมง้อทั้งที่ในใจอยากจะง้อ ใจจะขาด ดวงความรักของคนวันอังคารจะมีปัญหาก็อยู่ที่เรื่อง ของอารมณ์เท่านั้นต้องควบคุมอารมณ์ให้อยู่หรือเลือกคู่ที่เป็นคนใจเย็นสุดสุด ก็จะมีรักที่ยั่งยืนยากที่จะแตกร้าวได้


วันพุธ
คนเกิดวันพุธเป็นคนช่างคิดช่างตรึกตรองช่างเลือกรอบคอบ ในทุกเรื่องรวมทั้งในเรื่องของความรัก
คุณจะต้องมั่นใจเสียก่อน ที่จะตกลงปลงใจกับใครเป็นคนที่ต้องการความรักที่ลึกซึ้งมั่นคงไม่ใช่ความรักเพื่อให้ตื่นเต้นเร้าใจเท่านั้น เสน่ห์ของคนวันนี้อยู่ที่การพูดจาที่น่ารักสุภาพ ทำให้ใครต่อใครชื่นชอบรักสนุกและยังเป็นคนฉลาด มีไหวพริบดี อีกด้วย คนเกิดวันพุธ มักจะมีความรักแบบที่เริ่มจากความเป็นเพื่อนก่อน แล้วค่อยผูกพันกัน มาเป็นความรักแท้ที่เต็มไปด้วยการเข้าอกเข้าใจกัน รู้จักกันดีมาก เคารพอิสระและเวลาส่วนตัวซึ่งกันและกัน คนเกิดวันนี้ ไม่ชอบดูแค่หน้าตาอย่างเดียวแต่ต้องเป็นคนที่พูดคุยกันรู้เรื่องและ มีทัศนคติเหมือนกันต้องเป็นได้ทั้งเพื่อนคู่คิดและคนรักในขณะเดียวกัน


วันพฤหัสบดี
คุณเป็นคนมีความโอบอ้อมอารีมีน้ำใจต่อผู้คน มีสติปัญญาดี เป็นที่ ยอมรับของคนอื่น เป็นคนรักใครก็รักจริง เกลียดจริง ไม่ชอบการเสแสร้ง หลอกลวง ดวงความรักค่อนข้างเรียบง่าย ไม่โลดโผนมากนัก เป็นคนน่ารัก เปิดเผย จริงใจ และมีความมุ่งมั่นสู่จุดหมาย ไม่เลื่อนลอย ไร้สาระ เป็นคนไม่เจ้าชู้ ถ้ารักใครก็จะซื่อสัตย์และรักเดียวต่อคนรัก ของตัวเองไม่คิดนอกใจไปมีใครอื่น หากต้องผิดหวังในเรื่องความรัก ก็จะเป็นเพราะการมองโลกในแง่ดี จนเกินไป หรือคิดไปเองว่า ใครคนนั้นมีใจด้วย แต่เมื่อผิดหวังก็ไม่ปล่อย ตัวเองให้จมปลักกับความเจ็บปวด แต่จะพยายามทุ่มเทในเรื่อง ที่ตนสนใจ ให้ลืมความเจ็บปวดนั้น คนวันนี้ชอบคนที่เรียบง่ายมีนิสัย ความชอบคล้ายๆ กันไม่หรูหราฟุ่มเฟือยจนเกินไป


วันศุกร์
คนเกิดวันนี้มีเรื่องราวของความรัก ๆ ใคร่ ๆ มาวนเวียนประจำหัวใจ อยู่เสมอเป็นคนรักสวยรักงามชอบที่จะดูแลตัวเองให้ดูดีอยู่เสมอ เมื่อรักใครชอบใครแล้วก็จะเอาอกเอาใจเป็นอย่างดีเรียกว่าทุ่มจน สุดหัวใจเลยทีเดียว (เจ้าบุญทุ่ม ตัวจริง) แต่ก็ต้องการการตอบสนอง อย่างเดียวกันจากคนรักด้วย ไม่ฉะนั้นจะรู้สึกน้อยใจมาก เสน่ห์ของคนวันศุกร์อยู่ที่ความอ่อนหวาน เป็นคนใจกว้าง และซื่อตรง บางครั้งออกจะขี้ระแวงคนรักจนเกินเหตุไปด้วยซ้ำ ดวงความรัก ของคนเกิดวันนี้ค่อนข้างอาภัพ (ฮือ ๆ) ทั้ง ๆ ที่มีคนมารักชอบอยู่เยอะ แต่ก็มักจะจบลงเพราะความไม่มีเหตุผลและเจ้าอารมณ์ของคุณ อยู่นั่นเอง บางคนที่ถึงจะมีรักหวานแสนโรแมนติกเพียงใดแต่กลับ ต้องลาร้างกันทั้ง ๆ ที่ยังรักกันมาก บางคนก็อาจจะมีความสัมพันธ์รัก ที่ยั่งยืนอบอุ่นแต่อาจไม่ใช่คนที่คุณเคยรักอย่างหัวปักหัวปำมาก่อนเป็นคนที่มีดวงความรักพิเศษไม่ธรรมดาเลยจริงๆ

วันเสาร์
น่าอิจฉาที่สุด สำหรับคนเกิดวันเสาร์ เป็นคนโชคดีในด้านความรัก ไม่ค่อยจะมีปัญหาให้ต้องปวดใจ เหมือนคนเกิดวันอื่น ๆเพราะว่า คนเกิดวันนี้เป็นคนที่เด็ดเดี่ยว หนักแน่น ใจคอมั่นคง เมื่อคบกับใคร ก็จะมีคนคนนั้นอยู่คนเดียวในหัวใจ ไม่ชายตาไปให้คนอื่นเลย เมื่อเลิกแล้วถึงจะเริ่มมีรักใหม่ คุณเป็นคนที่ดูสุขุม มีระเบียบ แต่ก็เป็น คนดื้อรั้นไม่เบาทีเดียว มีความเจ้าชู้แบบเงียบ ๆ คือแค่มองและส่งยิ้มไปบ้าง ไม่มีอะไร ในกอไผ่เป็นประเภทขอแอบรัก แอบชื่นชม อยู่ไกล ๆ มากกว่า คนวันเสาร์เป็นคนที่ทระนง อดทน และมีความมุ่งมั่นใส่ใจคนรัก อย่างเสมอต้นเสมอปลาย (น่าอิจฉา คนมแฟน เกิดวันเสาร์จัง) แต่ก็ ไม่ชอบให้แฟนมีนิสัยหรูหรา ฟู่ฟ่าจนเกินไปนัก เป็นคนช่างเลือก จึงไม่ค่อยคบใคร เล่นๆ เมื่อถูกใจใคร จะใช้เวลาพิจารณานิสัยก่อน ที่จะเริ่มรักอย่างเต็มหัวใจแต่ทั้งนี้ ทั้งนั้น ในเรื่องของความรักจะต้องดู ถึงเรื่องความเหมาะสมในทุก ๆ ด้านด้วย เช่น อายุ ฐานะ การศึกษา

วันเสาร์, กันยายน 12, 2552

5 เคล็ดลับสวยใสไร้สิวแบบชีวจิต
เกร็ดสุขภาพฉบับนี้เรามี 5 เคล็ดลับดีๆ กับการรักษาสิวด้วยตัวคุณเองในแบบชีวจิตมาฝากกันค่ะ
1. ปรับอาหารการกินด้วยสูตรชีวจิต ให้ถูกต้อง
ไม่ควร รับประทานแป้งข้าวและของหวานที่ทำจากน้ำตาลทรายขาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งช็อกโกแลต รวมทั้งอาหารประเภทมันๆ และของ ทอดทั้งหลาย
ควร หันมารับประทานผักและผลไม้ให้มาก เพราะมีวิตามินซี วิตามินอี เบตาแคโรทีน แร่ธาตุโครเมียม และคลอโรฟิลล์ เพื่อช่วยปรับ สมดุลของฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย และเลือกรับประทานอาหารที่มีแร่ธาตุสังกะสี ได้แก่ ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท อาหารทะเล เป็น ต้น เพื่อช่วยลดการอักเสบและการติดเชื้อของสิว นอกจากนี้ยังทำให้แผลเป็นหายเร็วขึ้น ด้วยการสร้างเนื้อเยื่อใหม่แทนเซลล์ผิวหนังที่เสีย ไป
2. ใช้ดีท็อกซ์ช่วยกำจัดท็อกซิน เพราะการเป็นสิว ย่อมแสดงว่าร่างกายในช่วงนั้นมีเจ้าท็อกซินหรือพิษเกิดขึ้นแล้ว ดังนั้น การทำดีท็อกซ์ ตามหลักชีวจิต เพื่อช่วยขจัดพิษในร่างกาย หลังจากทำดีท็อกซ์เสร็จ ก็เข้าห้องอบไอน้ำหรือ ซาวน่า เพื่อขับพิษออกทางผิวหนังได้อีกทางหนึ่ง ค่ะ
3. ดื่มน้ำสมุนไพรที่ไม่มีน้ำตาล เช่น ลูกใต้ใบ มะตูม หรืออื่นๆ ตามตำราชีวจิต เพราะน้ำจะเป็นตัวพาของเสียสิ่งสกปรกออกไป และจะได้ ประโยชน์จากสมุนไพรแต่ละชนิดอีกด้วย
4. ออกกำลังกายจนเหงื่อออก ช่วยให้เลือดหมุนเวียนดี และทำให้ต่อมไขมันเปิดและพาหัวสิวให้ละลายง่าย ไม่เกิดสิว แต่ที่สำคัญ อย่าลืม ล้างหน้าให้สะอาดทุกครั้งหลังการออกกำลังกาย
5. ทำจิตใจให้สงบ มีอารมณ์สดชื่นแจ่มใส ความผ่อนคลายนี้จะช่วยให้การไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลือง รวมทั้งทำให้เม็ดเลือดขาวใน ร่างกายทำงานได้ดีขึ้น

วันพฤหัสบดี, กันยายน 10, 2552

โลกคณิตศาสตร์
กับ
ปัญหาชวนคิด
?????????????????????

1. ร้านค้าแห่งหนึ่งแต่เดิมขายสินค้าชนิดหนึ่งราคาชิ้นละ100 บาท ต่อมาสินค้าขาดตลาด ร้านค้าจึงขึ้นราคาสินค้านี้10%ต่อมาเมื่อความต้องการสินค้าเริ่มอิ่มตัวร้านค้าจึงลดราคาลง10%จากราคาขายตอนที่สินค้าขาดตลาดถามว่าราคาฬหม่ล่าสุดนี้จะเท่ากับ100บาทเหมือนเดิมหรือไม่
1 เท่าเดิม
2 มากกว่า
3น้อยกว่า
( เฉลย ข้อ3น้อยกว่าถ้าไม่คิดให้ดีจะตอบผิดว่าเท่าเดิมแต่ถ้าเราลองคิดดูดีๆจะเห็นว่าราคาสินค้าที่ขึ้นตอนที่สินค้าขาดตลาดเท่ากับ100บาท+10%ของ100บาท=100+10=110บาทและเมื่อลดราคาสินค้า10%จากราคา100บาทราคาใหม่จะเท่ากับ110บาท-10%ของ110บาท=110-11=99บาทนั่นก็คือราคาล่าสุดจะเท่ากับ99บาท )

2. มีต้นไม้100ต้นเรียงกันเป็นแถวตรงในถนนแห่งหนึ่งโดยระยะทางระหว่างต้นไม้แต่ละต้นจะเท่ากันคือ25เมตรถามว่าระยะทางจากต้มไม้ต้นแรกถึงต้นที่100เท่ากับเท่าใด
1. 2,450เมตร
2. 2,500เมตร
3. 2,525เมตร
4. 2,475เมตร
( เฉลย ข้อ4 2,475เมตรเราจะต้องหาก่อนว่ามีจำนวนช่องระหว่างต้นไม้100ต้นทั้งหมดกี่ช่วงเมื่อนับเป็นลำดับจากต้นที่1จะเห็นว่าจำนวนช่วงจะน้อยกว่าจำนวนต้นไม้อยู่1เสมอเมื่อมีจำนวนต้นไม้ทั้งหมด100ต้นก็จะมีจำนวนช่วงระหว่างต้นไม้อยู่99ช่วงเพราะฉะนั้นความยาวจากต้นที่1ถึงต้นที่100จะเท่ากับ25*99=2,475เมตร )

3. มีเส้นตรงอยู่หนึ่งเส้น ถ้าเราเอาวงกลม100วงซึ่งแต่ละวงมีความยาวเส้นผ่าศูนย์กลางเท่ากันคือ10เซนติเมตรมาเรียงกันบนเส้นตรงนี้โดยให้เส้นรอบวงของวงกลมวงต่อไปผ่านจุดศุนย์กลางของวงกลมก่อนหน้า ถ้าเรียงวงกลมทั้งหมด100วงความยาวจากขอบซ้ายมือสุดจนถึงขอบขวามือสุดจะเท่ากับกี่เซนติเมตร
1. 505ซม.
2. 1,000ซม.
3. 1,010ซม.
4. 1,020ซม.
( เฉลย ข้อ1 505ซม.จะเห็นว่าถ้าวงกลมวงเดียวความยาวของเส้นตรงจากขอบซ้ายถึงขอบขวาจะเท่ากับ10ซม.แต่เมื่อวางวงกลมวงต่อๆไปความยาวจะเพิ่มขึ้นอีกวงละ5ซม.เท่านั้นเพราะต้องวางซ้อนกันอยู่ทีละครึ่งวงดังนั้นเมื่อเรียงวงกลมทั้งหมด100วงความยาวที่เพิ่มจาก10ซม.ของวงแรกจะเท่ากับ99*5=495ซม.เพราะฉะนั้นความยาวจากขอบซ้ายสุดถึงขอบขวาสุดเท่ากับ495+100=505ซม. )

4. มีกระดาษกว้าง5ซม.ยาว10ซม.อยู่100แผ่นถ้าเอามาทากาวและต่อกันโดยให้ซ้อนกัน2ซม.ไปจนครบ100แผ่นถามว่าจะได้แถบกระดาษสีที่มีความยาวเท่าใด
1. 800 ซม.
2. 802ซม.
3. 902ซม.
4. 998ซม.
( เฉลย ข้อ2 802 ซม.จะเห็นว่าถ้าวางกระดาษแผ่นเดียวจะยาว10ซม.เมื่อวางแผ่นต่อๆไปโดยติดกาวซ้อนกับแผ่นก่อนหน้า2ซม.ความยาวที่เพิ่มขึ้นของกระดาษแผ่นที่นำมาติดจะเท่ากับ 10-2=8ซม.เท่านั้นดังนั้นถ้าต่อกระดาษทั้งหมด100แผ่นฏ็แสดงว่าต้องติดกาว99ครั้งและความยาวที่เพิ่มขึ้นทั้งหมดเท่ากับ 99*8=792ซม.เมื่อรวมกับความยาวของกระดาษแผ่นแรกแถบกระดาษทั้งหมดจะยาวเท่ากับ 10+792=802ซม. )

5. ผลการแข่งขันปาเป้าครั้งหนึ่งนายแม่นปาลูกดอก14ดอกเข้าเป้าละได้คะแนนรวมเป็น100คะแนนพอดีถ้าว่าลูกดอกจะต้องปักอยู่ในช่องคะแนนไหนบ้างโดยแต่ละช่องจะมีลูกดอกไม่ถึง10ดอก
1. ลูกดอกปักที่2และ8
2. ลูกดอกปักที่4และ8
3. ลูกดอกปักที่6และ8
4. ลูกดอกปักที่4,6และ8
( เฉลย ข้อ3และ4เนื่องจากแต่ละช่องจะมีลูกดอกไม่ถึง10ดอกเราต้องเริ่มคิดตั้งแต่กรณีที่ช่อง8คะแนนมีลูกดอก9ดอกซึ่งได้คะแนนรวม8*9=72คะแนนและเหลืออีก 100-72=28คะแนนสำหรับ5ดอกซึ่งจะเห็นว่าถ้าอยู่ช่อง6คะแนนมี4ดอกและช่อง4คะแนน1ดอกจะรวมคะแนนได้(6*4)+(4*2)=28คะแนนเมื่อลองคิดกรณีอื่นๆจะเห็นว่าไม่มีทางเป็นไปได้อีกแล้วเพราะฉะนั้นจะสรุปได้ว่าคำตอบคือข้อ3,4(เป็นไปได้2กรณี) )

6. มีเลข1ถึง9เรียงกันอยู่จงใส่เครื่องหมายคณิตศาสตร์เช่น +,-,*,/เข้าระหว่างตัวเลขนี้ให้ได้ผลลัพธ์เป็น1001 2 3 4 5 6 7 8 9 = 100
1. ไม่มีทางทำได้
2. ถ้าคิดให้ดีใช้แค่ +,- ก็จะทำได้
3. มีวิธีเป็นไปได้แค่วิธีเดียว
( เฉลย ข้อ 2 ถ้าคิดให้ดีใช้แค่ +,- ก็จะทำได้ลองใช้เวลาคิดดูนะครับสนุกพอควรทีเดียวก่อนอื่นลองดูกรณีที่ใช้เฉพาะเครื่องหมาย+,-เท่านั้นก่อน โดยที่เราจะต้องคิดโดยใช้หลักที่ว่าเลขเรียงกันเช่น 1,2,3เท่ากับ123ได้ จะเห็นว่า(1) 123-45-67+89= 100(2) 123+45-67+8-9=100(3) 12+3+4+5-6-7+89=100ต่อไปลองกรณี*,/ด้วยจะเห็นว่า(4) 1+234-56-7-(8*9)=100(5) 12+(3*45)+(6*7)-89=100(6) 12+(3*4)-5-5+78+9=100สรุปแล้วจะเห็นว่ามีวิธีที่เป็นไปได้ต่างๆหลายแบบ )

7. ถ้าวันที่1มกราคมของปีหึ่งเป็นวันจันทร์ถามว่าวันที่100ของปีนั้นจะเป็นวันอะไร
1 วันอาทิตย์
2 วันจันทร์
3 วันอังคาร
4 วันพุธ
5 วันพฤหัสบดี
6 วันศุกร์
7 วันเสาร์
( เฉลย ข้อ 3 วันอังคารจากที่ในสัปดาห์หนึ่งมี7วันถ้าวันที่1มกราคมเป็นวันจันทร์ก็แสดงว่าจำนวนวันที่หารด้วย7ได้ลงตัวจะ
เป็นวันอาทิตย์และถ้าเศษเป็น1,2,3,4,5และ6ก็เป็นวันจันทร์, วันอังคาร,วันพุธ,วันพฤหัสบดี,วันศุกร์,วันเสาร์ตามลำดับดังนั้นวันที่100ก็จะคิดได็จาก100/7=14เศษ2เราก็จะตอบได้ว่าวันที่100จะเป็นวันอังคาร )
8. ถ้าเด็ก 100 คน แข่งเป่ายิงฉุบกันโดยแข่งเป็นคู่ๆแบบแพ้คัดออก ( tournament ) ถามว่า กว่าจะได้ผู้ชนะเลิศจะมีการแข่งเป่ายิงฉุบทั้งหมดกี่ครั้ง
1. 99 ครั้ง
2. 100 ครั้ง
3. 101 ครั้ง
4. 200 ครั้ง
( เฉลย ข้อ 1. 99 ครั้งการแข่งแบบแพ้คัดออกก็คือ การแข่งเป็นคู่ๆ ( หนึ่งต่อหนึ่ง ) คนที่แพ้จะหมดสิทธิ์แข่งต่อ คนที่ชนะเท่านั้นจะไปจับคู่แข่งกับคนที่ชนะจากคู่อื่นอีกและทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็จะได้ผู้ชนะเลิศคนเดียวปัญหานี้จะดูเหมือนยาก ถ้าจับตาที่คนชนะว่าจะต้องแข่งกี่ครั้ง แต่จะง่ายมากถ้าเราเปลี่ยนจุดมองโดยจับตาดูคนที่แพ้จะเห็นว่าคนที่แพ้นั้น ถ้าแพ้ครั้งเดียวก็ต้องออกหมดสิทธิ์แข่งต่อ และในการแข่งนี้ในขั้นสุดท้ายแน่นอนว่าจะมีคนที่ชนะตลอดอยู่คนเดียว นอกนั้นที่เหลือ( ในกรณีนี้ก็คือ 99 คน ) จะแพ้คนละครั้งทุกคน ซึ่งการแพ้แต่ละครั้งก็คือการแข่ง 1 ครั้ง เพราะฉะนั้น เมื่อมีคนแพ้ทั้งหมด 99 คน ก็แสดงว่าการแข่งเป่ายิงฉุบทั้งหมดคือ 99 ครั้ง กว่าจะได้ผู้ชนะเลิศจะสรุปได้ว่าการแข่งแบบแพ้คัดออกนั้น จำนวนครั้งที่แข่งจะเท่ากับจำนวนผู้เข้าแข่ง -1 เสมอ )


เกาะสมุย
สมุยเกาะที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก อยู่บริเวณอ่าวไทย ห่างจากสุราษฎร์ธานีไปทางทิศตะวันออก 84 กิโลเมตร มีเนื้อที่ 247 ตารางกิโลเมตร ถนนรอบเกาะ (ถนนสายทวีราษฎร์ภักดี) ยาว 52 กิโลเมตร พื้นที่ 1 ใน 3 ของเกาะเป็นที่ราบ ล้อมรอบภูเขา ช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนพฤษภาคม เป็นช่วงคลื่นลมสงบเหมาะแก่การท่องเที่ยวที่สุด
เกาะสมุย เป็นเกาะที่มีหาดทรายสวยทรายขาวมีชื่อหลายแห่ง อาทิ หาดเฉวง หาดนาเทียน หาดตลิ่งงาม หาดละไม นักท่องเที่ยวที่ต้องการหาดทราย ทะเล สายลม และแสงแดด ชายหาดที่ทอดยาวขนานไปกับทะเล ต้นมะพร้าวริมชายหาดและน้ำทะเลใสสวย ล้วนเป็นเสน่ห์ที่ทำให้นักท่องเที่ยวที่เคยไปสมุยมาแล้วต้องหวนกลับไปอีกครั้งแล้วครั้งเล่า อาหารทะเลสด ๆ ก็เป็นอีกเสน่ห์ที่ชวนให้นึกถึง นอกจากทะเลสวยน้ำใส เกาะสมุยยังมีกิจกรรมที่กำลังได้รับความนิยมไปทั่วโลกบริการนักท่องเที่ยว นั่นก็คือ สปา….หรือการดูแลรักษาสุขภาพด้วยการใช้น้ำบำบัด เช่น การอาบแช่น้ำ อาจจะเป็นน้ำแร่ หรือน้ำร้อน การบำบัดโดยการนวด หรือ การใช้พฤกษาบำบัด โดยใช้กลิ่นพืชพรรณธรรมชาติช่วยในการคลายเครียด ซึ่งมีสถานที่บริการอยู่หลายแห่ง ทั้งในโรงแรมและศูนย์สปาโดยเฉพาะ แต่ละสถานที่มีบรรยากาศ ความสะดวกสบาย และการบริการที่ดีเยี่ยม ชวนให้รู้สึกผ่อนคลายอย่างแท้จริง และสำหรับนักกอล์ฟที่นี่ก็มีสนามกอล์ฟให้ได้ออกกำลังกายอีกด้วย
อ่าวบ่อผุด
อ่าวบ่อผุด มุมสงบทางด้านเหนือของเกาะสมุย ชายหาดที่ทอดไปตามแนวโค้งของอ่าว ไม่เคยทำให้นักท่องเที่ยวที่ต้องการความเงียบสงบ และเป็นส่วนตัวผิดหวัง ไม่เพียงความงามตามธรรมชาติเท่านั้น ยังมีภาพชีวิตชาวประมงดั้งเดิมให้ได้เห็นอีกด้วย น้ำทะเลค่อนข้างสงบ ชายหาดสะอาด สองข้างทางเลียบหาดบ่อผุด บรรดาร้านค้า บริษัทนำเที่ยว และร้านอาหารที่ตั้งเรียงรายอยู่นั้นดัดแปลงมาจากโครงสร้างบ้านเรือนของชาวจีน จึงมีความเป็นชุมชนจีนดั้งเดิมอยู่ไม่น้อย มีท่าเรือให้บริการนักท่องเที่ยวที่เดินทางข้ามจากเกาะสมุยไปยังเกาะเต่าด้วยเรือเร็ว มีร้านอาหารจำหน่ายอาหารทะเลสดๆให้ได้เลือกชิมอยู่หลายร้าน เป็นหาดที่มีชื่อเสียงในเรื่องอาหารทะเล เป็นที่ตั้งของชุมชนชาวประมงที่เก่าแก่ มีบ้านเรือนตั้งอยู่ริมหาดเป็นแนวยาว เหมาะแก่นักท่องเที่ยวที่ต้องการพักผ่อนในบรรยากาศที่เงียบสงบมากกว่าการเล่นน้ำ หาดบ่อผุดยามค่ำคืนมีเสน่ห์และโรแมนติกมาก หลังจากเที่ยวเสร็จก็กลับมาพักผ่อนครับ บรรยากาศแบบนี้มันช่างวิเศษจริงๆเลย
หาดบ่อผุด เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี : หาดนี้จะมีบ้านชาวเลอยู่ด้วย มีท่าเรือไปยังเกาะเต่า ส่วนหาดทรายก็โค้งสวยไม่แพ้หาดอื่นๆเลยครับ
หาดบ่อผุด เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี : โรงแรมรีสอร์ทบริเวณบ่อผุด จะเตรียมเรือไว้สำหรับนักท่องเที่ยวไว้ใช้เล่นผ่อนคลายครับ นับว่าเป็นจุดขายที่ดีจริงๆ
หาดบ่อผุด เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี : ที่หาดจะมีเรือเร็วไว้คอยบริการนักท่องเที่ยวครับ
หาดบ่อผุด เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี : ถึงตอนแดดจ้าก็ไม่หวั่นครับ เพราะสามารถนั่งหลบแดดใต้ต้นสนได้อย่างสบายใจ



หาดพระใหญ่และหาดเชิงมน
หาดพระใหญ่ และ หาดเชิงมน ตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือของเกาะ เป็นชายหาดแคบๆมีแนวโขดหินตามแนวหาด มีลักษณะเป็นส่วนตัวและเงียบสงบ เหมาะแก่การเล่นน้ำเนื่องจากมีแหลมยื่นลงไปในทะเล บางแห่งจะมีแนวปะการังน้ำตื้นให้นักท่องเที่ยวได้ชมในเวลาที่น้ำลงสามารถ เดินเท้าไปยังเกาะสม บริเวณหาดแห่งนี้สามารถหาที่พักในราคาที่ไม่สูงจนเกินไปได้ถัดจากหาดเชิงมน จะถึงหาดพระใหญ่ซึ่งมีถนนเชื่อมต่อไปยังเกาะฟานเกาะเล็กๆที่ประดิษฐานพระ พุทธโคดม หรือ พระใหญ่ พระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดหน้าตักกว้าง 5 วา 9 นิ้ว และเป็นที่ตั้งสำนักวิปัสสนากรรมฐานสำหรับผู้ปฏิบัติธรรมพักอาศัย อยู่ห่างจากหน้าทอนประมาณ 17 กม.เมื่อวันที่24 เมษายน 2505พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมนาถได้เสด็จมาทรง นมัสการ ชาวเกาะสมุยจึงถือเป็นประเพณีมีงานนมัสการพระใหญ่สืบมา
หาดพระหญ่ เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี : ถึงแม้จะไม่ได้ขึ้นไปที่พระใหญ่แต่เพียงแค่นั่งชมวิวอยู่ฝั่งตรงข้ามก็สบาย จนแทบจะหลับแล้วครับเพราะลมพัดเย็นดีมาก
หาดพระหญ่ เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี : ภายในวัดจะมีบันไดเพื่อขึ้นไปสักการะพระใหญ่ครับ เมือเข้ามาที่วัดนี้ก็จะได้ยินเสียงบทสวดที่ทางวัดเปิดออกอากาศช่างได้ บรรยากาศถึงธรรมมะจริงๆครับ
หาดพระหญ่ เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี : ด้วยหน้าตักที่กว้างถึง 5 วา 9 นิ้ว ทำให้พระใหญ่นั้นดูยิ่งใหญ่สมชื่อจริงๆครับ
หาดพระหญ่ เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี : ที่นี่ ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติก็ต่างเข้ามาไหวพระกันครับ น่าปลื้มใจจริง
หาดพระหญ่ เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี : ที่แห่งนี้เป็นที่ประดิษฐานพระใหญ่ที่ชาวเกาะสมุยเคารพนับถืออีกทั้งยังเป็น ที่ที่มีวิวสวยงามอีกด้วย
หาดพระหญ่ เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี : เมื่อยื่นอยู่บริเวณตลิ่งฝั่งตรงข้ามพระใหญ่ก็จะเห็นวิวทิวทัศน์ของเกาะเล็ก เกาะน้อย และตรงนี้สามารถมองเห็นเกาะพะงันได้อีกด้วย
หาดพระหญ่ เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี : เมื่อมองจากด้านบนก็จะเห็นหาดพระใหญ่ครับ



หาดละไม
หาดละไม หาดทรายที่ขนานกับทิวมะพร้าวทอดไปตามความโค้งของอ่าว เป็นภาพสวยงามที่สร้างชื่อเสียงให้กับหาดละไม มีบางช่วงของหาดเป็นหาดหิน ทางตอนใต้ของหาดมีหินรูปร่างแปลกตาซึ่งนักท่องเที่ยวชอบไปเที่ยวชมคือ หินตา หินยาย ที่มีตำนานเล่าสืบกันมาอย่างน่าสนใจ นอกจากหาดสวยๆแล้ว ศุนย์วัฒนธรรมวัดละไมก็เป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งที่ไม่ควรพลาดชม ศูนย์วัฒนธรรมวัดละไม อยู่ในวัดละไม ซึ่งเป็นสถานที่เก็บรวบรวมเครื่องมือเครื่องใช้เก่าแก่เช่น ตะเกียงโบราณ เครื่องมือการเกษตร รองเท้าหนังควาย และผลิตภัณฑ์จากมะพร้าว เป็นที่ที่บอกเล่าถึงวิถีชีวิตของชาวเกาะสมุยตั้งแต่อดีตได้เป็นอย่างดี บริเวณริมหาดที่เป็นที่ตั้งของหินตา หินยาย ยังมีร้านจำหน่ายสินค้าที่ระลึกให้เลือกซื้อหลายร้าน
หาดละไมเป็นหาดที่สวยงามไม่แพ้หาดอื่นในเกาะสมุย และที่แน่นอนคือเป็นแหล่งยอดนิยมของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มาพักที่ โรงแรมรีสอร์ทติดริมหาดละไมแห่งนีหาดละไม เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี : หาดละไมเป็นหาดที่อยู่ทางตอนใต้ของเกาะ ทำให้มีคลื่นค่อนข้างแรงในบางช่วงทำให้น่าเล่นน้ำมาก ช่วงเวลาหลังสี่โมงเย็นคือเวลาที่น่าเล่นน้ำมากที่สุด
หาดละไม เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี : เรือใบที่จอดไว้รอให้นักท่องเที่ยวพาออกสู่ท้องทะเล เห็นแล้วอยากไปเล่นด้วยจริงๆ
หาดละไม เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี : เรือใบที่จอดไว้รอให้นักท่องเที่ยวพาออกสู่ท้องทะเล เห็นแล้วอยากไปเล่นด้วยจริงๆ


หาดเฉวง
หาดเฉวง ชายหาดทางด้านตะวันออกของเกาะ เป็นชายหาดที่มีชื่อเสียงที่สุด และยาวที่สุดของเกาะสมุย หาดทรายขาวสวย น้ำทะเลใสระยิบระยับ ระดับน้ำไม่ลึกมากสามารถเล่นน้ำได้ดี ตลอดแนวหาดอันสวยงามจึงเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่มานอนอาบแดด เล่นน้ำ และกิจกรรมชายหาดที่มีแทบทุกอย่าง หาดเฉวงแบ่งออกเป็นสี่ช่วงคือ หาดเฉวงเหนือ ซึ่งอยู่ทางเหนือสุด หาดเฉวงกลาง ซึ่งอยู่ตรงกลาง ถัดมาคือหาดเฉวงใต้ และหาดเฉวงน้อย บริเวณหาดเฉวงเหนือและหาดเฉวงกลางมีบรรยากาศที่คึกคัก มีโรงแรมชั้นหนึ่งให้บริการมากมาย ตลอดแนวหาดจะมีร้านที่แนะนำและให้บริการอุปกรณ์ดำน้ำ ร้านอาหาร ร้านขายเสื้อผ้าและเครื่องประดับ กลางคืนจะเต็มไปด้วยแหล่งบันเทิง ตลอดจนศูนย์กลางแห่งกิจกรรมต่างๆ มากมายที่ถือว่าเป็นสีสันยามราตรีบนเกาะสมุย หาดเฉวงน้อยอยู่ถัดไปทางใต้ ซึ่งจัดเป็นหาดทรายที่สวยงามมาก เวลาน้ำลงจะเห็นเป็นลานทรายกว้างขวาง ในคืนพระจันทร์เต็มดวงแสงจันทร์ที่สาดลงอาบพื้นทราย เห็นเป็นประกายแวววาวสวยงามประทับใจเป็นอย่างยิ่งด้วยความสวยงามของชายหาดสีขาว ตัดกับท้องฟ้าสีคราม และน้ำทะเลใส เป็นเสน่ห์ที่ได้รับการบอกต่อ ทำ ให้หาดเฉวงเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว จนเป็นศูนย์กลางของธุรกิจ การท่องเที่ยวของเกาะสมุยในปัจจุบัน
เนื่องจากหาดเฉวงนั้นเป็นหาดที่ค่อนข้างยาว ทรายสวย ทำให้เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังมีสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งที่พัก และร้านอาหารคอยบริการติดริมหาด
หาดเฉวง เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี : เมื่อมองจากมุมนี้ก็จะเห็นหาดเชิงมน ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันมาก ข้ามหาดเชิงมนไปก็จะถึงพระใหญ่ครับ
หาดเฉวง เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี : ในวันที่ฟ้าใส หาดเฉวงถือว่าเป็นหาดที่มีวิวทิวทัศน์สวยงามมากทรายที่ขาวสะอาดทำให้นักท่อง เที่ยวต่างชาติชอบที่จะมานอนอาบแดดกันที่หาดนี้
สวรรค์ของนักท่องเที่ยว
หาดเฉวง เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี : ก่อนจะออกจากหาดเฉวง ก็ขอหลบแดดหน่อยล่ะครับ ขอบคุณต้นไม้แถวนี้ครับใช้บังแดดได้ดีทีเดียวเลย และขอบคุณลูกมะพร้าวนะครับที่ไม่ตกลงมาตอนนี้
หาดเฉวง เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี : หาดเฉวงนั้นมีน้ำทะเลที่ใสหาดทรายขาวทอดยาวเหมาะแก่การเล่นน้ำทะเลและเล่น กีฬาทางน้ำ ทั้งเรือใบ เรือแคนนู หรือเจ็ตสกี
หาดเฉวง เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี : ช่วงบ่ายๆ แดดจะจ้ามากจนฝรั่งก็ไม่ค่อยกล้าออกมาอาบแดดเลยครับรอให้พ้นไปซักชั่วโมงสอง ชั่วโมงก่อน แดดจึงจะร้อนแบบพอดีๆ น่านอนครับ


หินตาหินยาย
หินตาหินยาย ตั้งอยู่ที่บริเวณหาดละไมบนเกาะสมุยเป็นพื้นที่สาธารณะที่เปิดให้นักท่อง เที่ยวเข้าไปเยี่ยมชมธรรมชาติอันน่าสนใจของหินตาหินยาย พื้นที่บริเวณหาดจะเป็นหินทั้งหมดสามารถเดินลงไปได้ถึงทะเลเลยทีเดียวท่านจะ ได้สัมผัสกับธรรมชาติของหาดหินที่สวยงาม เหมาะแก่การนั่งเล่นพักผ่อนหรือจะลงเล่นน้ำก็ได้และที่น่าสนใจคือบริเวณหิน ตาหินยายจะมีหินรูปร่างประหลาดอยู่ 2แห่งด้วยกันซึ่งมีชื่อว่าหินตา และหินยายเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวที่มาเกาะสมุยต้องแวะเวียนเข้ามาถ่ายรูป

หินตาหินยาย เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี : พื้นที่บริเวณหินตาหินยายจะมีลักษณะเป็นหิน เหมาะแก่การถ่ายรูปเป็นอย่างมาก
หินตาหินยาย เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี : ด้วยลักษณะทางกายภาพอันโดดเด่นของหินตาทำให้ที่แห่งนี้โด่งดังไปทั่ว
หินตาหินยาย เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี : ด้วยลักษณะที่เป็นหินของหาดทำให้เหมาะกับการเป็นที่โพสท่าถ่ายรูปของนักท่อง เที่ยวทั้งไทยและต่างชาติผู้ที่ไปเที่ยวก็จะได้ถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน
หินตาหินยาย เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี : บริเวณทางเข้าจะมีร้านขายของที่ระลึกให้นักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถซื้อหาติดไม้ติดมือกลับบ้าน


หาดตลิ่งงาม
หาดตลิ่งงาม เป็นหาดที่อยู่ทางทิศตะวันตกของเกาะ อยู่ถัดไปในทางทิศใต้ของท่าเรือเฟอร์รี่ที่เดินระหว่างท่าดอนสัก - เกาะสมุย เป็นหาดที่มีชื่อเสียงมากหาดหนึ่ง เป็นจุดที่จะได้ชมพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดของเกาะสมุย เนื่องจากด้านหน้าของหาดเป็นที่ตั้งของเกาะสี่-เกาะห้า ในเวลาที่ดวงอาทิตย์ตก จะสามารถมองเห็นภาพของดวงอาทิตย์ตกลงระหว่างกลางเกาะทั้งสอง ค่อยๆหายลับขอบฟ้าที่ตัดกับน้ำทะเล เกิดเป็นภาพทิวทัศน์ที่สวยงามมาก ในช่วงเย็นหาดแห่งนี้เป็นที่ชุมนุมของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ในช่วงกลางวันยังสามารถเช่าเหมาเรือเพื่อเดินทางไปยังเกาะสี่-เกาะห้า ดำน้ำชมปะการัง หรือจะเลือกพักผ่อนด้วยการตกปลาก็ยังได้หาดตลิ่งงาม เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี





นวัตกรรมและเทคโนโลยีในการจัดการเรียนรู้

1. ทฤษฎีการเรียนรู้เป็นอย่างไร การเรียนรู้ (Learning) คือ กระบวนการของประสบการณ์ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างค่อนข้างถาวร ซึ่งการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนี้ไม่ได้มาจากภาวะชั่วคราว วุฒิภาวะ หรือสัญชาตญาณ(Klein 1991:2)
ความหมายของการเรียนรู้
การเรียนรู้เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ค่อนข้างถาวร โดยเป็นผลจากการฝึกฝนเมื่อได้รับการเสริมแรง มิใช่เป็นผลจากการตอบสนองตามธรรมชาติที่เรียกว่า ปฏิกิริยาสะท้อน (Kimble and Garmezy) การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่ทำให้พฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม อันเป็นผลจากการฝึกฝนและประสบการณ์ แต่มิใช่ผลจากการตอบสนองที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ (Hilgard and Bower) การเรียนรู้เป็นการแสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลง อันเป็นผลเนื่องมาจากประสบการณ์ที่แต่ละคนได้ประสบมา (Cronbach) การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่บุคคลได้พยายามปรับพฤติกรรมของตน เพื่อเข้ากับสภาพแวดล้อมตามสถานการณ์ต่าง ๆ จนสามารถบรรลุถึงเป้าหมายตามที่แต่ละบุคคลได้ตั้งไว้ (Pressey, Robinson and Horrock, 1959) ทฤษฎีการเรียนรู้ (learning theory) การเรียนรู้ คือ กระบวนการที่ทำให้คนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ความคิด คนสามารถเรียนได้จากการได้ยินการสัมผัส การอ่าน การใช้เทคโนโลยี การเรียนรู้ของเด็กและผู้ใหญ่จะต่างกัน เด็กจะเรียนรู้ด้วยการเรียนในห้อง การซักถาม ผู้ใหญ่มักเรียนรู้ด้วยประสบการณ์ที่มีอยู่ แต่การเรียนรู้จะเกิดขึ้นจากประสบการณ์ที่ผู้สอนนำเสนอ โดยการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนและผู้เรียน ผู้สอนจะเป็นผู้ที่สร้างบรรยากาศทางจิตวิทยาที่เอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้ ที่จะให้เกิดขึ้นเป็นรูปแบบใดก็ได้เช่น ความเป็นกันเอง ความเข้มงวดกวดขัน หรือความไม่มีระเบียบวินัย สิ่งเหล่านี้ผู้สอนจะเป็นผู้สร้างเงื่อนไข และสถานการณ์เรียนรู้ให้กับผู้เรียน ดังนั้น ผู้สอนจะต้องพิจารณาเลือกรูปแบบการสอน รวมทั้งการสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียน สรุป ทฤษฎีการเรียนรู้ (learning theory) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เรียนรู้มาจากประสบการณ์ และการเรียนรู้ของแต่ละบุคคลจะมีความแตกต่างกัน การเรียนรู้จะเกิดขึ้นจากประสบการณ์ที่ผู้สอนนำเสนอ ซึ่งจะต้องสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียนจึงจะทำให้เกิดการเรียนรู้ที่มีปฏิสัมพันธ์กัน

2. มีทฤษฎีอะไรบ้างที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ และแต่ละทฤษฎีเป็นอย่างไร
1. ทฤษฎีการเรียนรู้ของธอร์นไดค์ (Thorndike)
1. กฎแห่งความพร้อม (Law of Readiness) หมายถึง สภาพความพร้อมหรือวุฒิภาวะของผู้เรียนทั้งทางร่างกาย อวัยวะต่างๆ ในการเรียนรู้และจิตใจ รวมทั้งพื้นฐานและประสบการณ์เดิม สภาพความพร้อมของหู ตา ประสาทสมองกล้ามเนื้อ ประสบการณ์เดิมที่จะเชื่อมโยงกับความรู้ใหม่หรือสิ่งใหม่ ตลอดจนความสนใจ ความเข้าใจต่อสิ่งที่เห็น ถ้าผู้เรียนมีความพร้อมตามองค์ประกอบต่างๆ ดังกล่าว ก็จะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้
2. กฎแห่งการฝึกหัด(Law o f Exercise) หมายถึงการที่ผู้เรียนได้ฝึกหัดหรือกระทำซ้ำๆบ่อยๆ ย่อมจะทำให้เกิดความสมบูรณ์ถูกต้อง ซึ่งกฎนี้เป็นการเน้นความมั่นคงระหว่างการเชื่อมโยงและการตอบสนองที่ถูกต้องย่อมนำมาซึ่งความสมบูรณ์
3. กฎแห่งความพอใจ(Law of Effect) กฎนี้เป็นผลทำให้เกิดความพอใจ กล่าวคือ เมื่ออินทรีย์ได้รับความพอใจ จะทำให้หรือสิ่งเชื่อมโยงแข็งมั่นคง ในทางกลับกันหากอินทรีย์ได้รับความไม่พอใจ จะทำให้พันธะหรือสิ่งเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนองอ่อนกำลังลง หรืออาจกล่าวได้ว่า หากอินทรีย์ได้รับความพอใจจากผลการทำกิจกรรม ก็จะเกิดผลดีกับการเรียนรู้ทำให้อินทรีย์อยากเรียนรุ้เพิ่มมากขึ้นอีก ในทางตรงข้ามหากอินทรีย์ได้รับผลที่ไม่พอใจก็จะทำให้ไม่อยากเรียนรู้หรือเบื่อหน่ายและเป็นผลเสียต่อการเรียนรู้
2. ทฤษฎีการเรียนรู้ของกาเย่
กาเย (Gagne) ได้เสนอหลักที่สำคัญเกี่ยวกับการเรียนรู้ว่า ไม่มีทฤษฎีหนึ่งหรือทฤษฎีใดสามารถอธิบายการเรียนรู้ของบุคคลได้สมบูรณ์ ดังนั้น กาเย จึงได้นำทฤษฎีการเรียนรู้แบบสิ่งเร้าและการตอบสนอง (S-R Theory) กับทฤษฎีความรู้ (Cognitive Field Theory) มาผสมผสานกันในลักษะ ของการจัดลำดับการเรียนรู้ดังนี้
1. การเรียนรู้แบบสัญญาณ (Signal Learning) เป็นการเรียนรู้แบบการวางเงื่อนไข เกิดจากความใกล้ชิดของสิ่งเร้าและการกระทำซ้ำผู้เรียนไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมของตนเอง 2. การเรียนรู้แบบการตอบสนอง (S-R Learning) คือการเรียนรู้ที่ผู้เรียนสามารถควบคุมพฤติกรรมนั้นได้การตอบสนองเป็นผลจากการเสริมแรงกับโอกาสการกระทำซ้ำ หรือฝึกฝน 3. การเรียนรู้แบบลูกโซ่ (Chaining Learning) คือการเรียนรู้อันเนื่องมาจากการเชื่อมโยงสิ่งเร้ากับการตอบสนองติดต่อกันเป็นกิจกรรมต่อเนื่องโดยเป็นพฤติกรรมที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหว เช่นการขับรถ การใช้เครื่องมือ 4. การเรียนรู้แบบภาษาสัมพันธ์ (Verbol Association Learning) มีลักษณะเช่นเดียวกับการเรียนรู้แบบลูกโซ่ หากแต่ใช้ภาษา หรือสัญลักษณ์แทน 5. การเรียนรู้แบบการจำแนก (Discrimination Learning)ได้แก่การเรียนรู้ที่ผู้เรียนสามารถมองเห็นความแตกต่าง สามารถเลือกตอบสนองได้ 6. การเรียนรู้มโนทัศน์ (Concept Learning)ได้แก่การเรียนรู้อันเนื่องมาจากความสามารถในการตอบสนองสิ่งต่างในลักษณะที่เป็นส่วนรวมของสิ่งนั้น เช่นวงกลมประกอบด้วยมโนทัศน์ย่อยที่เกี่ยวกับ ส่วนโค้ง ระยะทาง ศูนย์กลาง เป็นต้น 7. การเรียนรู้กฏ(Principle Learning)เกิดจากความสามารถเชื่อมโยงมโนทัศน์เข้าด้วยกันสามารถนำไปตั้งเป็นกฎเกณฑ์ได้ 8. การเรียนรู้แบบปัญหา (Problem Solving) ได้แก่ การเรียนรู้ในระดับที่ ผู้เรียนสามารถรวมกฎเกณฑ์ รู้จักการแสวงหาความรู้ รู้จักสร้างสรรค์ นำความรู้ไปแก้ปัญหาในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้จากลำดับการเรียนรู้นี้แสดงให้เห็นว่า พฤติกรรมการเรียนรู้แบบต้นๆ จะเป็นพื้นฐาน
3. ทฤษฎีการเรียนรู้แบบนีโอฮิวแมนนิส
เชื่อว่าแนวคิดนี้ จะพัฒนาให้คนสมบูรณ์ โดยเน้นด้านร่างกาย จิตสำนึก จิตใต้สำนึก และจิตเหนือสำนึก นั่นคือเด็กจะต้องมีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงสวยงาม ด้วยการส่งเสริมให้ออกกำลังกาย รวมถึงการพัฒนาด้านอารมณ์ และสติปัญญาควบคู่ไปด้วย เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายความเป็นคนที่สมบูรณ์ กิจกรรมของนีโอฮิวแมนนิสจะต้องสอดคล้องกับหลัก4 ข้อคือ คลื่นสมองต่ำ การประสานของเซลล์สมอง ภาพพจน์ต่อตนเอง และการให้ความรัก
4.ทฤษฎีการเรียนรู้แบบวอลดอร์ฟ
เน้นการศึกษาเรื่องมนุษย์และความเชื่อมโยงของมนุษย์กับโลกและจักรวาล การเชื่อมโยงทุกเรื่องกับมนุษย์ไม่ใช่ให้มนุษย์ยึดตนเอง แต่เป็นการสอนให้มนุษย์รู้จักจุดยืนที่สมดุลของตนในโลกมนุษย์ ปรัชญาเน้นความสำคัญของการสร้างความสมดุลใน 3 วิถีทาง คือ กาย ใจและสติปัญญา (HAND-HEART-HEAD) ของเด็กที่แตกต่างกันตามวัย ดังนั้นการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัยจึงยึดหลักการทำซ้ำ เด็กควรได้มีโอกาสทำสิ่งต่างๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนการกระทำนั้นซึมลึกลงไปในกายและจิตจนเป็นนิสัย
5.ทฤษฎีการเรียนรู้แบบมอนเตสซอรี่
จุดเด่นของมอนเตสซอรี่คือ การให้เด็กเรียนรู้ผ่านอุปกรณ์ที่จัดเตรียมไว้ อุปกรณ์แต่ละชิ้นมีจุดมุ่งหมายการใช้เฉพาะ ทุกชิ้นผ่านการพิสูจน์แล้วว่าเด็กชอบ สนใจ และเหมาะกับพัฒนาการในแต่ละช่วงวัยของเด็ก ครอบคลุมหลักสูตรพื้นฐานสำหรับเด็กวัย 3-6 ปีที่มอนเตสซอรี่กำหนดไว้ทั้ง 3กลุ่มหลักคือ การจัดการศึกษาทางด้านทักษะกลไก การศึกษาทางด้านประสาทสัมผัส และ การเตรียมสำหรับการเขียนและคณิตศาสตร์
6. ทฤษฎีการเรียนรู้แบบไฮสโคป
คือ การเรียนรู้แบบลงมือกระทำ ซึ่งถือว่าเป็นพื้นฐานสำคัญ ในการพัฒนาเด็ก การเรียนรู้แบบลงมือกระทำจะเกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดในโปรแกรมที่พัฒนาเด็กอย่างเหมาะสมกับพัฒนาการ การเรียนรู้แบบลงมือกระทำหมายถึงการเรียนรู้ซึ่งเด็กได้จัดกระทำกับวัตถุ ได้มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคล ความคิดและเหตุการณ์ จนกระทั้งสามารถสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง องค์ประกอบของการเรียนรู้แบบลงมือกระทำได้แก่ การเลือกและการตัดสินใจ สื่อ การใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ภาษาจากเด็ก และการสนับสนุนจากผู้ใหญ่
7. ทฤษฎีการเรียนรู้แบบเรกจิโอ เอมีเลีย
เป็นรูปแบบหนึ่งของการจัดประสบการณ์การเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัยที่พัฒนามาจากความเชื่อที่ว่าการเรียนการสอนนั้นไม่ใช่การถ่ายโอนข้อมูลความรู้จากผู้สอนไปสู่ผู้เรียน การเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเด็กได้เรียนรู้ในสิ่งที่ตนสนใจ และบทบาทของครูจะต้องส่งเสริมและสนับสนุนให้เด็กได้เรียนรู้ในสิ่งที่สนใจได้อย่างเต็มศักยภาพของเด็ก การปฏิบัติในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัย คือ วิธีการมองเด็ก โรงเรียน ครูและเด็กเรียนรู้ไปด้วยกัน

3. นวัตกรรม คืออะไร
นวัตกรรม เป็นคำที่ค่อนข้างจะใหม่ในวงการศึกษาของไทย คำนี้เป็นศัพท์บัญญัติของคณะกรรมการพิจารณาศัพท์วิชาการการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งแต่เดิมใช้คำว่า นวกรรม เป็นคำที่มาจากภาษาอังกฤษว่า Innovation เป็นคำนามมาจากคำกริยาว่า Innovate มีรากศัพท์มาจากภาษาอังกฤษว่า Inovare ( in ( =in )+novare = to renew, to modify ) และ novare มาจากคำว่า novus ( = new )
Innovate แปลตามรูปศัพท์ได้ว่า “ ทำใหม่ , เปลี่ยนแปลงโดยนำสิ่งใหม่ ๆ เข้ามา ” คำว่า Innovation อาจจะแปลว่า “ การทำสิ่งใหม่ ๆ สิ่งใหม่ที่ทำขึ้นมา ” ( Webster’ s Third New “International Dictionary ” ) แต่เดิมที่มีผู้บัญญัติศัพท์ นวกรรม ขึ้นมา คงจะเทียบเคียงกับรากศัพท์ภาษาลาติน โดยใช้คำบาลี สันสกฤตแทน นว ( = ใหม่ ) + กรรม ( = การทำ, สิ่งที่ทำ ) รวมความแล้วแปลได้ว่า “ การทำใหม่, สิ่งที่ทำใหม่ ” แต่บังเอิญในภาษาบาลี มีคำว่า นวกมฺม ใช้อยู่แล้ว แปลว่า “ การก่อสร้าง, การซ่อมแซม, การสร้างใหม่ ” และในภาษาสันสกฤตก็มีคำว่า นวการฺมิก แปลว่า “ ผู้คุมงานก่อสร้าง, ช่างก่อสร้าง ” นอกจากนั้นในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2493 ก็มีคำว่า นวกรรม, นวการ และนวกิจ แปลว่า “ การก่อสร้าง ” และ นวกรรมมิก แปลว่า “ ผู้ดูแลการก่อสร้าง ” จะเห็นได้ว่า คำว่า “ นวกรรม ” มีความหมายแน่นอนอยู่แล้ว และยังเป็นคำที่มีในภาษาไทย ก่อนที่คำว่า Innovation จะเข้ามาเสียอีก ถ้าจะใช้คำว่า นวกรรม แทนคำว่า Innovation อาจทำให้เกิดความสับสนขึ้นได้ง่าย จึงได้มีการบัญญัติศัพท์คำว่า นวัตกรรมขึ้นมาแทน นวกรรม ที่ใช้ในวงการศึกษาแต่เดิม
เมื่อพิจารณาดูในภาษาบาลี คำว่า Innovate แปลว่า “ นวตฺตํ ชเนติ ” ( = ให้ได้มาซึ่งสิ่งใหม่ ) หรือ “ นวตฺตํ ปาเปติ ” ( = ได้มาซึ่งสิ่งใหม่ ) ซึ่งคำว่า Innovation แปลว่า / “ นวตฺตํ ปาปณ ” ( = การให้ได้มาซึ่งสิ่งใหม่ ) คำว่า “ นวตต ” โดยรูปศัพท์เป็นคำนาม แปลว่า “ ความใหม่, สิ่งใหม่ ” ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า novelty เมื่อนำเอาคำว่า “ นวตต ( บาลี ) + กรมม ( สันสกฤต) ” จึงแปลได้ว่า “ การทำสิ่งใหม่ ” หรือ “ งานที่เป็นสิ่งใหม่ ” ถ้าแปลรูปเป็นภาษาไทยจะกลายเป็น “ นวัตต ” เนื่องจากมี ต ซ้อนกัน 2 ตัว และตัวหลังไม่มีสระกำกับ จึงตัดออกตัวหนึ่ง เหลือเพียง “ นวัต ” แต่ยังคงอ่านว่า “ นะ-วัด-ตะ ” เราจึงได้คำใหม่ “ นวัตกรรม ” มาใช้แทนคำว่า Innovation ในวการศึกษา
เมื่อพิจารณาความหมาย ศัพท์บัญญัติวิชาการศึกษา คำว่า “ นวัตกรรม ” หมายถึง “การนำสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมวิธีการที่ทำอยู่เดิมเพื่อให้ใช้ได้ผลดียิ่งขึ้น” ฉะนั้น ไม่ว่าวงการหรือกิจการใด ๆ ก็ตาม เมื่อนำเอาความเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ เข้ามาใช้เพื่อปรับปรุงงานให้ดีขึ้นกว่าเดิมหรือมุ่งที่จะให้งานนั้นมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ก็เรียกได้ว่าเป็นนวัตกรรมของวงการนั้น ๆ เช่น ถ้าในวงการศึกษานำเอาเข้ามาใช้ก็เรียกว่า “ นวัตกรรมการศึกษา ” ( Educational Innovation ) สำหรับผู้ที่กระทำหรือนำความเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ มาใช้นี้เรียกว่าเป็น “ นวัตกร ” ( Innovator )
ในที่นี้จะยกตัวอย่างความหมายของคำว่า “ นวัตกรรม ” ตามความหมายของนักวิชาการต่าง ๆ มาพอสังเขปดังนี้
ทอมัส ฮิวช์ (Thomas Hughes ) ได้ให้ความหมาย ว่า เป็นการนำวิธีการใหม่ ๆ มาปฏิบัติหลังจากได้ผ่านการทดลอง หรือได้รับการพัฒนามาเป็นขั้น ๆ แล้ว โดยเริ่มมาตั้งแต่การคิดค้น ( Invention ) การพัฒนา ( Development ) ซึ่งอาจจะเป็นไปในรูปของโครงการทดลองปฏิบัติก่อน ( Pilot Project ) แล้วจึงนำไปปฏิบัติจริงซึ่งมีความแตกต่างไปจากการปฏิบัติเดิมที่เคยปฏิบัติมา
มอร์ตัน ( Morton , J.A. ) ได้กล่าวไว้ในหนังสือ Organizing for innovation ว่า นวัตกรรม หมายถึง การทำให้ใหม่ขึ้นอีกครั้ง ( Renewal ) ซึ่งหมายถึง การปรับปรุงของเก่าและพัฒนาศักยภาพของบุคลากร ตลอดจนหน่วยงานหรือองค์การนั้น ๆ นวัตกรรม ไม่ใช่การขจัดหรือล้มล้างสิ่งเก่าให้หมดไป แต่เป็นการปรับปรุงเสริมแต่งและพัฒนาเพื่อความอยู่รอดของระบบ
ไชยยศ เรืองสุวรรณ ได้ให้ความหมาย นวัตกรรม ไว้ว่า หมายถึง วิธีการปฏิบัติใหม่ ๆ ที่แปลกไปจากเดิมโดยอาจจะได้มาจากการคิดค้นพบวิธีการใหม่ ๆ ขึ้นมาหรือมีการปรับปรุงของเก่าให้เหมาะสมและสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้รับการทดลอง พัฒนา จนเป็นที่เชื่อถือได้แล้วว่าได้ผลดีในทางปฏิบัติทำให้ระบบก้าวไปสู่จุดหมายปลายทางได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น
สวัสดิ์ บุษปาคม ได้ให้ความหมาย นวัตกรรม ไว้ว่า หมายถึง การปฏิบัติหรือกรรมวิธี ที่นำเอาวิธีการใหม่มาใช้หรือการกระทำการเปลี่ยนแปลง ปรับปรุงวิธีทำสิ่งต่าง ๆ ให้ดีกว่าเดิม คือทำให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
จรูญ วงส์สายัณห์ ได้กล่าวถึงความหมายของ นวัตกรรม ไว้ว่า แม้ในภาษาอังกฤษเอง ความหมายก็ต่างกันไป 2 ระดับ โดยทั่วไป นวัตกรรม หมายถึง ความพยายามใด ๆ จะเป็นผลสำเร็จหรือไม่ มากน้อยเพียงใดก็ตามที่เป็นไปเพื่อจะนำสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิธีการที่ทำอยู่เดิมแล้ว กับอีกระดับหนึ่ง ซึ่งวงการวิทยาศาสตร์แห่งพฤติกรรมได้พยายามศึกษาถึงที่มา ลักษณะ กรรมวิธี และผลกระทบที่มีอยู่ต่อกลุ่มคนที่เกี่ยวข้อง คำว่า นวัตกรรม มักจะหมายถึง สิ่งที่ได้นำความเปลี่ยนแปลงใหม่เข้ามาใช้ได้ผลสำเร็จและแผ่กว้างออกไป จนกลายเป็นการปฏิบัติอย่างธรรมดาสามัญ เช่น การปลูกฝีในวงการแพทย์ การทำเหล็กกล้าในวงการอุตสาหกรรม เป็นต้น
สรุป

นวัตกรรม หมายถึง การนำสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาใช้ในระบบการทำงาน การนำเอาความเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ เข้ามาใช้เพื่อปรับปรุงงานด้านต่าง ๆ ให้ดียิ่งขี้นกว่าเดิมที่เป็นอยู่ เพื่อพัฒนาไปสู่การมีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น โดยนวัตกรรมจะต้องมีการคิดค้นและพัฒนาอยู่เสมอเพื่อที่จะนำมาใช้ให้เหมาะสมกับงานของแต่ละด้านนั้น ๆ

4. นวัตกรรมทางการศึกษา คืออะไร
นวัตกรรมการศึกษาเป็นกระบวนการที่ทำให้เกิดรูปแบบใหม่ในวงการศึกษา เรื่องที่อยู่ในขอบข่ายของนวัตกรรมการศึกษาได้แก่หลักสูตร วิธีสอน การจัดสภาพแวดล้อม สื่อการสอน ตลอดจนการวัดผลและประเมินผลการเรียนการสอน ซึ่งได้ให้ความหมาย ของนวัตกรรมการศึกษาไว้ดังนี้
การนำนวัตกรรมมาใช้ในวงการการศึกษาเรียกว่า “ นวัตกรรมการศึกษา ” ( educational innovation ) หมายถึง นวัตกรรมที่ช่วยให้การศึกษาและการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วมีประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม ในปัจจุบันมีการใช้นวัตกรรมศึกษามากมายหลายอย่าง ซึ่งมีทั้งนวัตกรรมที่ใช้กันแพร่หลายแล้วและที่กำลังเผยแพร่
นวัตกรรมทางการศึกษา หมายถึง วิธีการปฏิบัติใหม่ ๆ ในทางการศึกษา ซึ่งแปลกไปจากเดิมโดยอาจได้มาจากการค้นพบวิธีการใหม่ ๆ หรือปรับปรุงของเก่าให้เหมาะสม โดยมีการทดลอง พัฒนา จนเป็นที่น่าเชื่อถือได้มีผลดีในทางปฏิบัติ และสามารถทำให้ระบบการศึกษาดำเนินไปสู่เป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นวัตกรรมการศึกษา หมายถึง ความคิด และการกระทำใหม่ ๆ ทางการศึกษาเพื่อสงเสริมให้การเรียน การสอนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
บุญเกื้อ ครวญหาเวช กล่าวว่า นวัตกรรมการศึกษา หมายถึง เป็นการนำเอาสิ่งใหม่ๆ ซึ่งอาจอยู่ในรูปของความคิด หรือ การกระทำ รวมทั้ง สิ่งประดิษฐ์ก็ตามเข้ามาในระบบการศึกษา เพื่อมุ่งหวังที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่มีอยู่เดิม ให้ระบบการจัดการศึกษามีประสิทธิภาพยิ่ง
สรุป
นวัตกรรมการศึกษา หมายถึง เป็นการนำเอาวิธีการใหม่ ๆ มาใช้ในการปรับปรุงส่งเสริมคุณภาพ และประสิทธิภาพในการทำงานเข้ามาใช้ในระบบการศึกษา เพื่อมุ่งหวังที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่มีอยู่เดิมให้ระบบการจัดการศึกษามีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นในทุก ๆ ด้าน

5. เทคโนโลยี หมายถึงอะไร
ความหมายของเทคโนโลยี
Technologe มีรากศัพท์มาจากภาษาลาติน คือ Texere หมายถึง to weave หรือ to construct ซึ่งไม่เกี่ยวกับเครื่องจักรอย่างที่คิดกันในปัจจุบัน แต่หมายถึง practical art ที่ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ช่วย
Dr. Jarnes D. Finn ให้ความหมายเทคโนโลยีว่าเป็นสิ่งที่มีความลึกซึ้งกว่าสิ่งประดิษฐ์หรือเครื่องมือต่าง ๆ แต่รวมถึงความคิดหรือวิธีการในการกระทำสิ่งใด ๆ
William James Brown ให้ความหมายเทคโนโลยีว่าเป็นวิทยาศาสตร์ประยุกต์ ระบบและหลักการสัมพันธ์กับความเข้าใจการปฏิบัติ และสุดท้ายแห่งผลประโยชน์ที่บังเกิดขึ้น
ดร. ก่อ สวัสดิพานิชย์ ให้ความหมายเทคโนโลยีว่า หมายถึง การนำเอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์และระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์มาใช้ให้เป็นประโยชน์ในการทำงานอย่างมีระบบ จึงอาจกล่าวได้ว่าเทคโนโลยี คือวิทยาศาสตร์ประยุกต์นั่นเอง
ดร. สิปปนนท์ เกตุทัต ให้คำจำกัดความว่า โทคโนโลยีหมายถึง การนำเอาวิทยาศาสตร์ไปประยุกต์เพื่อเป็นประโยชน์ต่อสังคม
ดร. สนั่น อินทรประเสริฐ กล่าวว่าเทคโนโลยีคือความรู้ว่าด้วยการกระทำนั่นเอง
คาร์เตอร์ วี กูด ( Garter V. Good ) ได้ให้ความหมายของคำว่าเทคโนโลยี ไว้ในพจนานุกรมการศึกษาว่า เทคโนโลยี หมายถึง การนำวิทยาศาสตร์ประยุกต์มาใช้ในวงการต่าง ๆ หรือ มาใช้งานสาขาต่าง ๆ และเมื่อนำมาใช้แล้วก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบงานต่าง ๆ นั้นด้วย การนำเทคโนโลยีมาใช้แล้วแต่วิธีการทำงานคงเดิมอย่างนี้ไม่นับว่าเป็นเทคโนโลยี
วิลเลี่ยม ดี แฮลเซย์ ( William D.Halsey ) ให้ความหมายไว้ 3 ความหมาย คือ
1. การนำเอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ไปใช้เพื่อให้บังเกิดผลในทางปฏิบัติให้เป็นไปตามความมุ่งหมายที่วางไว้
2. ระเบียบวิธีการ ขบวนการ และสิ่งประดิษฐ์ ที่เป็นผลจากการใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์
3. การใช้วัสดุ หรือวัตถุมาบริการความต้องการของสังคม
เอดการ์ เดล ( Edgar Dale ) ได้ให้ความหมายของคำว่า เทคโนโลยีไว้ในหนังสือ Audio Visucl Method in Teaching ว่าเทคโนโลยีไม่ใช่เครื่องมือแต่เป็นแผนการ วิธีการทำงานอย่างมีระบบที่ให้บรรลุตามแผนการ
ดร. เจมส์ ดี พินน์ ( Dr. James D. Fiu ) ผู้ค้นคว้าเทคโนโลยีทางการศึกษาให้ความหมาย เทคโนโลยีว่าเป็นสิ่งที่มีความกว้างขว้างไปกว่าประดิษฐ์กรรม หรือเครื่องมือต่าง ๆ แต่ได้ครอบคลุมไปถึงกระบวนการ แนวความคิด แนวทาง หรือ วิธีการในการคิดกระทำสิ่งใด ๆ
ดร. ชัยยงค์ พรหมวงศ์ เขียนไว้ในหนังสือมิติที่ 3 ตามรูปแบบศัพท์ภาษาอังกฤษ เทคโนโลยีหมายถึง ศาสตร์ที่ว่าด้วยวิธีการ แต่ความหมาย เทคโนโลยีที่แท้เป็นกระบวนการ วิธีการ หลักปฏิบัติ และสิ่งประดิษฐ์ ซึ่งอยู่ในรูปของการจัดระบบงาน ซึ่งประกอบด้วยองค์สามคือ
1. ข้อมูลที่ใส่เข้าไป ได้แก่การกำหนดปัญหา วัตถุประสงค์ รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
2. กระบวนการ ได้แก่ การลงมือแก้ปัญหา แจกแจงวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์
3. ผลลัพธ์ คือผลที่ได้จากการแก้ปัญหา หรือสรุปการวิเคราะห์ซึ่งสามารถ จะนำไปทดลองประยุกต์ใช้ และทำการประเมินผล
สรุป
เทคโนโลยี หมายถึง การนำเอากระบวนการ วิธีการและแนวความคิดใหม่ ๆ ทางวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในการเปลี่ยนแปลงระบบการทำงานด้านต่าง ๆ ให้เกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

6. เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึงอะไร
เทคโนโลยีสารสนเทศ คือ เทคโนโลยีในการนำคอมพิวเตอร์มาใช้งานจัดการกับข้อมูล ข่าวสาร หรือที่เรียกว่าสารสนเทศ ศาสตร์ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นศาสตร์ที่ใหม่มาก และมีความสำคัญมากในสังคมปัจจุบัน และถือเป็นหนึ่งในสามศาสตร์หลัก (เทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยีนาโน เทคโนโลยีชีวภาพ) ที่ถูกกล่าวว่าจะมีผลต่อสังคมในอนาคตมากที่สุด
ปัจจุบัน มีผู้กล่าวถึง เทคโนโลยีสารสนเทศกันอย่างกว้างขวาง โดยเราจะรู้จักกันทั่วไปในชื่อสั้นๆ ว่า ไอที (IT) รัฐบาลไทยเองก็เล็งเห็นความสำคัญด้านนี้มาก จึงมีการจัดตั้งกระทรวงใหม่ที่เกี่ยวกับงานทางด้านนี้ขึ้น ชื่อกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือเรียกย่อๆ ว่ากระทรวงไอซีที
เทคโนโลยีสารสนเทศนั้นมีลักษณะเด่น คือ มีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วมาก เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ทันสมัยเกิดขึ้นมาเรื่อยๆ ทุกวัน เช่น เราจะเห็นว่ามีการใช้อินเตอร์เน็ตกันอย่างแพร่หลาย มีการส่งอีเมล์ มีการท่องเว็บต่างๆ มีการส่งข้อมูลผ่านเว็บ มีการเล่นเกมออนไลน์ผ่านอินเตอร์เน็ต นอกจากอินเตอร์เน็ตแล้ว ยังมีเทคโนโลยีสารสนเทศที่เกี่ยวกับมือถือ เช่น มีการส่งข้อมูลผ่านทางมือถือ มีการดาวโหลดข้อมูลต่างๆ รวมทั้งเพลงผ่านมือถือ มีการสืบค้นข้อมูลหรือเล่นเกมผ่านมือถือ เป็นต้น ในทางอุตสาหกรรมก็มีการนำระบบสารสนเทศเข้าไปช่วยเพิ่มผลผลิตในโรงงาน ช่วยควบคุมดูแลเครื่องจักรเพื่อผลิตสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้กระบวนการผลิตเป็นแบบอัตโนมัติ
นอกจากนี้มีการนำสารสนเทศไปใช้ในงานด้านธุรกิจเพื่อทำให้การบริหารงานมีประสิทธิภาพ โดยสามารถดูข้อมูลต่างๆ ได้ทันทีทั้งข้อมูลที่เป็นรายละเอียดและข้อมูลสรุป และช่วยในการสนับสนุนการตัดสิน บริษัทที่ทันสมัยทุกบริษัทต้องมีระบบสารสนเทศภายในองค์กร ในยุคต่อไป คอมพิวเตอร์จะมีขนาดเล็กลง มีความเร็วสูงขึ้น และมีหน่วยความจำมากขึ้น และที่สำคัญ ราคาของคอมพิวเตอร์จะถูกลงมาก ดังนั้นคอมพิวเตอร์จะเข้ามามีบทบาทในสังคมของเรามากขึ้น โดยเราจะเรียกสังคมนี้ว่าสังคมยูบิคิวตัส (Ubiquitous) คือคอมพิวเตอร์อยู่ทุกหนทุกแห่ง
ดังนั้นการจัดการข้อมูลสารสนเทศที่เกิดจากคอมพิวเตอร์เหล่านี้ จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก นอกจากนี้การบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศภายในบริษัทก็เป็นสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่ง จะเห็นได้ว่าบริษัทหรือองค์กรใหญ่จำเป็นต้องมีหน่วยงานด้านการจัดการระบบสารสนเทศ ปัจจุบันในโลกของธุรกิจ มีธุรกิจที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศมากมาย ซึ่ง นักธุรกิจที่ร่ำรวยที่สุดก็คือ นักธุรกิจด้านไอที ซึ่งความจริงนี้แสดงให้เห็นว่า ไอทีได้เป็นศาสตร์ที่รับความสนใจและมีความสำคัญมากในสังคมปัจจุบันและต่อไปในอนาคต
เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึง อุปกรณ์หรือเครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับการรวบรวมประมวล เก็บรักษา และเผยแพร่ข้อมูลและสารสนเทศโดยรวมทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ ฐานข้อมูล และการสื่อสาร โทรคมนาคม ระบบสารสนเทศสร้างขึ้นมาเพื่อจุดมุ่งหมายหลายประการจุดมุ่งหมายพื้นฐานประการหนึ่ง คือ การประมวลข้อมูล (Data) ให้เป็นสารสนเทศ (Information) และนำไปสู่ความรู้ (Knowledge) ที่ช่วยแก้ปัญหาในการดำเนินงาน
เทคโนโลยีสารสนเทศ ในความคิดของ Lee Oi Dam เป็นครูโรงเรียนประถมศึกษา Dazhong Primary ประเทศสิงคโปร์ กล่าวใน Bulletin ของ Principal’ s center Z ( ฉบับที่ 8 กันยายน 1999 ) ว่า
“ครูจำเป็นต้องทำความเข้าใจเพื่อให้มีทักษะต่าง ๆ เกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศในขณะนี้ ครูจะต้องใช้ศักยภาพทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศให้มากที่สุด เสมือนหนึ่งเป็นเครื่องมือเพื่อสร้างประสิทธิภาพแห่งการเรียนรู้ ”
เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษาหมายถึง การนำเอาเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งประกอบด้วยเทคโนโลยีทางคอมพิวเตอร์ และเครือข่ายโทรคมนาคมที่เชื่อมต่อกัน สำหรับใช้ในการส่งและรับข้อมูล และมัลติมีเดีย เกี่ยวกับความรู้โดยผ่านกระบวนการประมวลหรือจัดทำให้อยู่ในรูปที่มีความหมายและความสะดวกมาใช้ประโยชน์มาใช้ประโยชน์สำหรับการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยเพื่อให้คนไทยสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต
นโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติ มุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพคนให้มีความสามารถในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและนำไปประยุกต์เพื่อการศึกษาและการศึกษาอบรมทุกระดับ ทั้งในสาชาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ รวมทั้งการพัฒนาการระบบข้อมูลข่าวสารให้สามารถเชื่อมโยงกันโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงแหล่งความรู้และเป็นการเอื้ออำนวยต่อกระบวนการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องและตลอดชีวิตของทุกคนได้ และควรส่งเสริมให้ครูผู้สอน ผู้เรียนมีโอกาสเรียนรู้วิธีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการรับข่าวสารและความรู้เพื่อการเรียนการสอนทางไกลอย่างเต็มประสิทธิภาพ
สรุป
การนำเครื่องมือ อุปกรณ์ ซึ่งประกอบด้วยเทคโนโลยีทางคอมพิวเตอร์ มาใช้ในการับส่งข้อมูลข่าวสาร เพื่อช่วยแก้ปัญหาในการทำงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการติดต่อการทำงานด้วย

7. เทคโนโลยีสารสนเทศ ที่มีบทบาทในการศึกษามีอะไรบ้าง และแต่ละอย่างเป็นอย่างไร
เทคโนโลยีสารสนเทศได้เข้ามามีบทบาทต่อการศึกษาอย่างมาก โดยเฉพาะเทคโนโลยีทางด้านคอมพิวเตอร์ และการสื่อสารโทรคมนาคมมีบทบาทที่สำคัญต่อการพัฒนาการศึกษาเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญต่อการศึกษาประกอบด้วย 1. เทคโนโลยีที่เข้ามามีส่วนช่วยในเรื่องการเรียนรู้ปัจจุบันมีเครื่องมือเครื่องใช้ที่ช่วยสนับสนุนการเรียนรู้หลายอย่าง มีระบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) มีระบบมัลติมีเดีย (Multimedia)* ระบบวิดีโออนนดีมานด์ (Video on Demand) วิดีโอเทเลคอนเฟอเรนซ์ (Video Teleconference) และอินเตอร์เน็ต (Internet) เป็นต้น ระบบเหล่านี้เป็นระบบสนับสนุนการรับรู้ข่าวสารและการค้นหาข้อมูลข่าวสารเพื่อการเรียนรู้ 2. เทคโนโลยีที่เข้ามาสนับสนุนการจัดการศึกษาในการจัดการศึกษาสมัยใหม่จำเป็นต้องอาศัยข้อมูลข่าวสารเพื่อการวางแผนการดำเนินการ การติดตามและประเมินผลคอมพิวเตอร์และระบบสื่อสารโทรคมนาคมเข้ามามีบทบาทที่สำคัญในเรื่องนี้ 3. เทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยให้การสื่อสารระหว่างบุคคลเกือบทุกวงการ ทั้งทางด้านการศึกษาจำเป็นต้องอาศัยการสื่อสารระหว่างผู้สอนกับผู้เขียน ผู้เรียนกับผู้เรียน เป็นต้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการเรียนการสอน และการดำเนินงานในหลายด้านโดยอาศัยเทคโนโลยีการสื่อสาร และการดำเนินงานในหลายด้านโดยอาศัยเทคโนโลยีการสื่อสารระหว่างบุคคล เช่น การใช้โทรศัพท์ โทรสาร เทเลคอนเฟอเรนส์ และไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
- บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนในลักษณะสื่อหลายมิติบรรจุลงแผ่นซีดี ดีวีดี หรือนำเสนอบนเว็บไซต์บนอินเทอร์เน็ต
- การใช้เครื่องวิชวลไลเซอร์ ( visualizer ) เพื่อเสนอเนื้อหาบทเรียนจากสิ่งพิมพ์ และแผ่นโปร่งใส แทนการใช้เครื่องฉายภาพทึบแสงและเครื่องฉายภาพข้ามศรีษะ ทั้งยังสามารถใช้เป็นกล้องถ่ายภาพเคลื่อนไหวภายในห้องเรียนได้ด้วย
- การใช้เครื่องแอลซีดี ( LCD ) ถ่ายทอดเนื้อหาบทเรียนจากคอมพิวเตอร์ขึ้นจอภาพขนาดใหญ่ เพื่อให้สามารถเห็นได้อย่างทั่วถึงภายในห้อง
- อินเทอร์เน็ตเพื่อการศึกษาในลักษณะการสอนบนเว็บ การสืบค้นข้อมูล ฯลฯ
- การเรียนในลักษณะอีเลิร์นนิงแบบประสานเวลาและไม่ประสานเวลา
- ความเป็นจริงเสมือนเพื่อการศึกษาในการสำรวจ การสร้างและใช้มโนทัศน์ด้านนามธรรม เช่น การจัดแปลนห้องในด้านสถาปัตยกรรม ฯลฯ
เทคโนโลยีสารสนเทศมีพัฒนาการที่เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว มีการปรับปรุงเครื่องมือเครื่องใช้ที่เป็นประโยชน์กับงานสารสนเทศอยู่ตลอดเวลา ทำให้วงการวิชาชีพหันมาปรับปรุงกลไกในวิชาชีพของตนให้ทันกับสังคมสารสนเทศ เพื่อให้ทันต่อกระแสโลก จึงทำให้เกิดการบริการรูปแบบใหม่ๆ ขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายผ่านอินเตอร์เน็ต การให้บริการส่งข่าวสาร SMS หรือการโหลดเพลงผ่านเครือข่ายโทรศัพธ์มือถือ นอกจากนี้หน่วยงานต่างๆ ยังได้สร้างระบบงานสารสนเทศในหน่วยงานของตนเองขึ้นเป็นจำนวนมาก เช่น การทำเว็บไซด์ของหน่วยงานเพื่อใช้ประโยชน์จากสารสนเทศเหล่านั้นเพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างกว้างขวางและคุ้มค่า โดยสารสนเทศเข้ามามีบทบาทในการจัดทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อใช้ในการสื่อสาร การประชาสัมพันธ์ การปฏิบัติงาน การแก้ปัญหา หรือการตัดสินใจ เพื่อการวางแผนและการจัดการ ดังนั้นเทคโนโลยีสารสนเทศจึงมีบทบาทและความสำคัญมากในปัจจับัน และมีแนวโน้วที่จะมีบทบาทมากยิ่งขึ้นในอนาคต เพราะเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการดำเนินงานสารสนเทศให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นับตั้งแตการผลิต การจัดเก็บ การประมวลผล การเรียกใช้ การสื่อสารสารสนเทศ การแลกเปลี่ยนและใช้ทรัพยากรสารสนเทศร่วมกันให้เกิดความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ (สุนทร แก้วลาย. 2531:166) พอสรุปได้ดังนี้ 1. ช่วยในการจัดระบบข่าวสารจำนวนมหาสารในแต่ละวัน 2. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสารสนเทศ 3. การจัดเรียงลำดับสารสนเทศ ฯลฯ 4. ช่วยในการจัดเก็บสารสนเทศไว้ในรูปที่เรียกใช้ได้ทุกครั้งอย่างสะดวก 5. ช่วยในการจัระบบอัติโนมัติ เพื่อการจัดเก็บ การประมวลผล และการเรียกใช้สารสนเทศ
6. ช่วยในการเข้าถึงสารสนเทศได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพมากขึ้น 7. ช่วยในการสื่อสารระหว่างกันได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ลดอุปสรรคเกี่ยวกับเวลาและระยะทาง โดยใช้ระบบโทรศัพท์ และอื่นๆ

8. สื่อการสอน คืออะไร
สื่อการสอนคือ อะไร
สื่อการสอนนับว่าเป็นสิ่งที่มีบทบาทอย่างมากในการเรียนการสอนนับแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากเป็นตัวกลางที่ช่วยให้การสื่อสารระหว่างผู้สอนและผู้เรียนดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพทำให้ผู้เรียนมีความเข้าใจความหมายของเนื้อหาบทเรียนได้ตรงกับที่ผู้สอนต้องการ ไม่ว่าสื่อนั้นจะเป็นสื่อในรูปแบบใดก็ตาม ล้วนแต่เป็นทรัพยากรที่สามารถอำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ได้ทั้งสิ้น ในการใช้สื่อการสอนนั้นผู้สอนจำเป็นต้องศึกษาถึงลักษณะเฉพาะ และคุณสมบัติของสื่อแต่ละชนิดเพื่อเลือกสื่อให้ตรงกับวัตถุประสงค์การสอนและสามารถจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน โดยต้องมีการวางแผนอย่างเป็นระบบในการใช้สื่อด้วย ทั้งนี้เพื่อให้กระบวนการเรียนกาสอนดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สื่อ ( Medium, pl. Media ) เป็นคำที่มาจากภาษาลาตินว่า “ Medium ” แปลว่า “ ระหว่าง ” ( between ) หมายถึง สิ่งใดก็ตามที่บรรจุข้อมูลเพื่อให้ผู้ส่งและผู้รับสามารถสื่อสารกันได้ตรงตามวัตถุประสงค์ เมื่อมีการนำสื่อมาใช้ในการเรียนการสอน จึงเรียกว่า “ สื่อการสอน ” ( Instructional Media ) หมายถึง สื่อชนิดใดก็ตามไม่ว่าจะเป็นเทปบันทึกเสียง สไลด์ วิทยุ โทรทัศน์ วิดีโอ แผนภูมิ ภาพนิ่ง ฯลฯ ซึ่งบรรจุเนื้อหาเกี่ยวกับการเรียนการสอน ( Heinich, and others 1989 : 7 – 8 ) สิ่งเหล่านี้เป็นวัสดุอุปกรณ์ทางกายภาพที่นำมาใช้ในเทคโนโลยีการศึกษา ( Percival and Ellington 1984 : 185 ) เป็นสิ่งที่ใช้เป็นเครื่องมือหรือช่องทางสำหรับทำให้การสอนของผู้สอนส่งไปถึงผู้เรียน ทำให้ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์หรือจุดมุ่งหมายที่ผู้สอนวางไว้ได้เป็นอย่างดี ( เปรื่อง กุมุท 2519 : 1)
ต่อไปนี้เป็นคำจำกัดความของสื่อการสอน มีดังนี้
สื่อการสอน หมายถึง วัสดุ อุปกรณ์ และวิธีการ ซึ่งถูกนำมาใช้ในการการเรียนการสอน เพื่อเป็นตัวกลางในการนำส่งหรือถ่ายทอดความรู้ ทักษะ และเจตคติ จากผู้สอนหรือแหล่งความรู้ไปยังผู้เรียน ช่วยให้การเรียนการสอนดำเนินไปอย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพ และทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอนที่ตั้งไว้
บราวน์ และคณะ (Brown and other. 1964: 584) กล่าวว่า สื่อการสอนหมายถึง จำพวกอุปกรณ์ทั้งหลายที่สามารถช่วยเสนอความรู้ให้แก่ผู้เรียนจนเกิดผลการเรียนที่ดี ทั้งนี้มีความหมายรวมถึงกิจกรรมต่าง ๆ ไม่เฉพาะแต่สิ่งที่เป็นวัตถุหรือเครื่องมือเท่านั้น เช่น การศึกษานอกสถานที่ การแสดงบทบาท นาฏการ การสาธิต การทดลอง ตลอดจนการสัมภาษณ์และการสำรวจ เป็นต้น
เกอร์ลัช และอีลี ( ไชยยศ เรืองสุวรรณ. 2526:141: อ้างอิงมาจาก Gerlach and Ely.) ได้ให้คำจำกัดความของ สื่อการสอน ไว้ว่าสื่อการสอน คือ บุคคล วัสดุหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งทำให้นักเรียนได้รับความรู้ ทักษะ ทัศนคติ ครู หนังสือ และสิ่งแวดล้อมของโรงเรียนจัดเป็นสื่อการสอนทั้งสิ้น
ไฮนิคส์ โมเลนดาและรัสเซล (Heinich, Molenda and Russel. 1985 : 5) ให้ทัศนะเกี่ยวกับสื่อการสอนไว้ว่า สื่อการสอน หมายถึง สื่อชนิดใดก็ตามไม่ว่าจะเป็น สไลด์ โทรทัศน์ วิทยุ เทปบันทึกเสียง ภาพถ่าย วัสดุฉายและวัตถุสิ่งตีพิมพ์ ซึ่งเป็นพาหนะในการนำข้อมูลจากแหล่งข้อมูลไปยังผู้รับ เมื่อนำมาใช้กับการเรียนการสอน หรือส่งเนื้อหาความรู้ไปยังผู้เรียนในกระบวนการเรียนการสอน เรียกว่า สื่อการสอน
เปรื่อง กุมุท (2519: 1) กล่าวว่า สื่อการสอน หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่เป็นเครื่องมือ หรือช่องทางสำหรับทำให้การสอนของครูถึงผู้เรียน และทำให้ผู้เรียนเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์หรือจุดมุ่งหมายที่วางไว้อย่างดี
ไชยยศ เรืองสุวรรณ (2526: 4) กล่าวว่า สื่อการสอน หมายถึง สิ่งที่ช่วยให้การเรียนรู้ ซึ่งครูและนักเรียนเป็นผู้ใช้เพื่อให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2529: 112) ให้ความหมายของสื่อการสอนว่า คือวัสดุ (สิ้นเปลือง) อุปกรณ์ ( เครื่องมือที่ใช้ไม่ผุพังง่าย) วิธีการ (กิจกรรม เกม การทดลอง ฯลฯ) ที่ใช้สื่อกลางให้ผู้สอนสามารถส่ง หรือถ่ายทอดความรู้ เจตคติ (อารมณ์ ความรู้สึก ความสนใจ ทัศนคติ และค่านิยม) และทักษะไปยังผู้เรียน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คณะนิสิตปริญญาโท, มศว. ประสานมิตร ( 2519 ) ได้ให้คำจำกัดความว่า “ สื่อการสอน หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่ใช้เป็นเครื่องมือหรือช่องทางสำหรับการถ่ายทอด หรือนำความรู้หรือประสบการณ์ไปสู่ผู้เรียนและทำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ ”
สรุป
สื่อการสอน หมายถึง ตัวกลางที่ช่วยนำและถ่ายทอดข้อมูลความรู้จากผู้สอนหรือจากแหล่งความรู้ไปยังผู้เรียน เป็นสิ่งที่ช่วยอธิบายและขยายเนื้อหาบทเรียนให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้นเพื่อบรรลุถึงวัตถุประสงค์การเรียนที่ตั้งไว้

9. สื่อประสม คืออะไร
ชัยยงค์ พรหมวงศ์ ให้ความหมายว่า “ สื่อประสม เป็นการนำสื่อการสอนหลายอย่างมาสัมพันธ์กันเพื่อถ่ายทอดเนื้อหาสาระ ในลักษณะที่สื่อแต่ละชิ้นส่งเสริมสนับสนุนกันและกัน ”
อีริคสัน ได้แสดงความหมายว่า “ สื่อประสม หมายถึง การนำสิ่งหลายๆ อย่างมาใช้ร่วมกันอย่างมีความสัมพันธ์ มีคุณค่าและส่งเสริมซึ่งกันและกัน สื่อการสอนอย่างหนึ่งอาจใช้เพื่อเร้าความสนใจ ในขณะที่อีกอย่างหนึ่งใช้เพื่ออธิบายข้อเท็จจริงของเนื้อหา และอีกชนิดหนึ่งอาจใช้เพื่อก่อให้เกิดความสนใจที่ลึกซึ้ง และป้องกันการเข้าใจความหมายผิดๆ การใช้สื่อประสมจะช่วยให้ผู้เรียนมีประสบการจากประสาทสัมผัสที่ผสมผสานกัน ได้ค้นพบวิธีการที่จะเรียนในสิ่งที่ต้องการได้ด้วยตนเองมากยิ่งขึ้น ”
สื่อประสมหรือสื่อหลายแบบ (Multimedia) เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้คอมพิวเตอร์สามารถผสมผสานระหว่างข้อความ ข้อมูล ตัวเลข ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว และเสียง ตลอดจนระบบโต้ตอบกับผู้ใช้(Interactive)มาผสมผสานเข้าด้วยกัน สื่อประสมหรือมัลติมีเดีย หมายถึงการนำเอาสื่อหลาย ๆ อย่าง เช่น รูปภาพ เทป แผ่นโปร่งใส มาใช้ร่วมกัน เพื่อส่งเสริมให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการเรียนการสอน ต่อมาเมื่อมีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้มากขึ้น และสามารถใช้งาน ได้ทั้งภาพนิ่ง เสียง ข้อความและภาพเคลื่อนไหว ทำให้ความหมายของสื่อประสมเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งส่วนประกอบหลัก ที่มีใช้ทั่วไปของคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียจะมี CD-ROM sound card และลำโพง เพิ่มเข้ามาในคอมพิวเตอร์ หรืออาจมีส่วนประกอบที่เกี่ยวกับการใช้งานวิดีโอด้วย นอกจากนี้ยังมีความหมายรวมถึงการใช้การใช้คอมพิวเตอร์ควบคุมอุปกรณ์อื่น ๆ เช่น เครื่องวิดีโอเทปเสียง ซีดีรอม กล้องดิจิตอล โทรทัศน์ฯลฯ ให้ทำงานร่วมกัน การใช้คอมพิวเตอร์ควบคุมอุปกรณ์หลาย ๆ อย่างดังกล่าวจะต้องอาศัย โปรแกรมคอมพิวเตอร์ (Software) และอุปกรณ์ (Hardware) ต่าง ๆ ประกอบกัน บางครั้งจึงเรียกว่าสถานีปฏิบัติการมัลติมีเดี (Multimedia workstation) สื่อประสม หมายถึง การนำเอาสื่อหลาย ๆ ประเภทมาใช้ร่วมกันทั้งวัสดุ อุปกรณ์และวิธีการเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุดในการเรียนการสอน โดยการใช้สื่อแต่ละอย่างตามลำดับขั้นตอนของเนื้อหา และในปัจจุบันมีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ร่วมด้วยเพื่อการผลิกหรือการควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ต่าง ๆ ในการเสนอข้อมูลทั้งตัวอักษร ภาพกราฟิก ภาพถ่าย ภาพเคลื่อนไหวแบบวีดิทัศน์ และเสียงจากความหมาย ของคำว่าสื่อประสม นักเทคโนโลยีการศึกษาได้แบ่งสื่อประสมออกเป็น 2 กลุ่ม คือ สื่อประสม (Multimedia 1) เป็นสื่อประสมที่ใช้โดยการนำสื่อหลายประเภทมาใช้ร่วมกันในการเรียนการสอน เช่น นำวีดิทัศน์มาสอนประกอบการบรรยายของผู้สอนโดยมีสื่อสิ่งพิมพ์ประกอบด้วย หรือการใช้ชุดการเรียนหรือชุดการสอน การใช้สื่อประสมประเภทนี้ผู้เรียนและสื่อจะไม่มีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบกัน และจะมีลักษณะเป็น "สื่อหลายแบบ" สื่อประสม (Multimedia 2) เป็นสื่อประสมที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นฐานในการเสนอสารสนเทศหรือการผลิตเพื่อเสนอข้อมูลประเภทต่าง ๆ เชนภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว ตัวอักษรและเสียงในลักษณะของสื่อหลายมิติ โดยที่ผู้ใช้มีการโต้ตอบกับสื่อโดยตรง

10. รูปแบบของสื่อหลายมิติในการเรียนการสอนประกอบด้วยอะไรบ้าง
สื่อหลายมิติ ความหมาย สื่อหลายมิตินั้นเป็นสื่อประสมที่พัฒนามาจากข้อความหลายมิติ ซึ่งแนวความคิดเกี่ยวกับข้อ ความหลายมิติ (hypertext) นี้มีมานานหลายสิบปีแล้ว โดย แวนนิวาร์ บุช (Vannevar Bush) เป็นผู้ ที่มีความคิดริเริ่มเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยเขากล่าวว่าน่าจะมีเครื่องมืออะไรสักอย่างที่ช่วยในเรื่อง ความจำและความคิดของมนุษย์ที่จะช่วยให้เราสามารถสืบค้นและเรียกใช้ข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ได้ หลาย ๆ ข้อมูลในเวลาเดียวกันเหมือนกับที่คนเราสามารถคิดเรื่องต่าง ๆ ได้หลายเรื่องในเวลาเดียวกัน
จากแนวคิดดังกล่าว เท็ด เนลสัน และดั๊ก เอนเจลบาร์ต ได้นำแนวคิดนี้มาขยายเป็นรูปเป็น ร่างขึ้น โดยการเขียนบทความหรือเนื้อหาต่าง ๆ กระโดยข้ามไปมาได้ในลักษณะที่ไม่เรียงลำดับเป็น เส้นตรงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต่อมาเรียกกันว่า ไฮเพอร์เท็กซ์หรือข้อความหลายมิติ โดยการใช้ คอมพิวเตอร์ช่วย แนวคิดเริ่มแรกของสื่อหลายมิติคือความต้องการเครื่องมือช่วยในการคิดหรือการ จำที่ไม่ต้องเรียงลำดับ และสามารถคิดได้หลายอย่างในเวลาเดียวกัน
ข้อความหลายมิติ Hypertext หรือข้อความหลายมิติ คือเทคโนโนยีของการอ่านและการเขียนที่ไม่เรียงลำดับ เนื้อหากัน โดยเสนอในลักษณะของข้อความที่เป็นตัวอักษร หรือภาพกร3าฟิคอย่างง่าย ที่มีการ เชื่อมโยงถึงกัน เรียกว่า “จุดต่อ” (node) โดยผู้ใช้สามารถเคลื่อนที่จากจุดต่อหนึ่งไปยังอีกจุดต่อ หนึ่งได้โดยการเชื่อมโยงจุดต่อเหล่านั้น
ข้อความหลายมิติ เป็นระบบย่อยของสื่อหลายมิติ คือเป็นการนำเสนอสารสนเทศที่ผู้อ่านไม่ จำเป็นต้องอ่านเนื้อหาในมิติเดียวเรียงลำดับกันในแต่ละบทตลอดทั้งเล่ม โดยผู้อ่านสามารถข้ามไปอ่านหรือค้นคว้าข้อมูลที่สนใจตอนใดก็ได้โดยไม่ต้องเรียงลำดับลักษณะข้อความหลายมิติอาจ เปรียบเทียบได้เสมือนกับบัตรหรือแผ่นฟิล์มใส หลาย ๆ แผ่นที่วางซ้อนกันเป็นชั้น ๆ ในแต่ละแผ่นจะบรรจุข้อมูลแต่ละอย่างลงไว้ หลายมิติ สื่อหลายมิติ (Hypermedia) มีนักวิชาการหลายท่านได้ให้ความหมายและลักษณะของสื่อหลายมิติไว้ดังนี้ น้ำทิพย์ วิภาวิน กล่าวไว้ว่า สื่อหลายมิติ (Hypermedia) เป็นเทคนิคที่ต้องการใช้สื่อผสมอื่น ๆ ที่คอมพิวเตอร์สามารถนำเสนอได้ในรูปแบบต่าง ๆ ได้ทั้งข้อความ เสียง ภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว(2542:53)
วิเศษศักดิ์ โคตรอาชา กล่าวว่า สื่อหลายมิติ Hypermedia เป็นการขยายแนวความคิดจาก Hypertext อันเป็นผลมาจากพัฒนาการของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่สามารถผสมผสานสื่อและอุปกรณ์หลายอย่างให้ทำงานไปด้วยกัน (2542:53)
กิดานันท์ มลิทอง กล่าวไว้ว่า สื่อหลายมิติ เป็นการขยายแนวความคิดของข้อความหลายมิติในเรื่องของการเสนอข้อมูลในลักษณะไม่เป็นเส้นตรง และเพิ่มความสามารถในการบรรจุข้อมูลในลักษณะของภาพเคลื่อนไหวแบบวีดิทัศน์ ภาพกราฟิคในลักษณะภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว ภาพถ่าย เสียงพูด เสียงดนตรี เข้าไว้ในเนื้อหาด้วย เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงเนื้อหาเรื่องราวในลักษณะต่าง ๆ ได้หลายรูปแบบกว่าเดิม(2540:269) สื่อหลายมิติในการเรียนการสอน การนำเสนอเนื้อหาแบบข้อความหลายมิติและสื่อหลายมิติเป็นการนำเสนอเนื้อหาในลักษณะของกรอบความคิดแบบใยแมงมุม ซึ่งเป็นกรอบความคิดที่เชื่อว่าจะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับวิธีที่มนุษย์จัดระบบความคิดภายในจิต ดังนั้น ข้อความหลายมิติและสื่อหลายมิติจึงทำให้สามารถคัดลอกและจำลองเครือข่ายโยงใยความจำของมนุษย์ได้ การใช้ข้อความหลายมิติและสื่อหลายมิติในการเรียนการสอนจึงช่วยให้ผู้เรียน

ฝันดี

เลียนแบบ buddha bless

CraB CraB

เมืองไทยประกันชีวิต

ไม่รู้ตัวว่ารักเธอ-พิ้งค์กี้ สาวิกา

S! Radio
เพลงประกอบละคร วงเวียนหัวใจ
เพลง ไม่รู้ตัวว่ารักเธอ-พิ้งค์กี้ สาวิกา
ศิลปิน รวมศิลปิน วงเวียนหัวใจ
อัลบั้ม เพลงประกอบละคร วงเวียนหัวใจ
ดูเนื้อเพลงคัดลอกโค้ดเพลงนี้ดาวน์โหลดริงโทน